Kabuki

วันนี้มีโอกาสได้ลองชิมอาหารญี่ปุ่น ร้าน Kabuki ตรงชั้น 7 เซ็นทรัลเวิร์ล ใกล้ๆ โรงหนังนั่นแหละ
รูปถ่ายด้วยมือถือคู่ใจ SE P1i ไม่ค่อยชัดนัก คลิกที่รูปดูภาพใหญ่ได้ครับ

KABUKI
แก้วลายสวยดี

ร้านเงียบมาก ตอนห้าโมงเย็นมีผมกินอยู่โต๊ะเดียว
สั่งข้าวหน้าปลาไหลทรงเครื่อง กับปลาหิมะย่างซีอิ๊ว
ข้าวหน้าปลาไหลทรงเครื่องปลาหิมะย่างซีอิ๊ว
ปลาไหลราคา 250 บาท ปลาหิมะ 380 บาท เท่ากับทุกร้านที่เคยกินมา (Fuji, Zen, Sukishi)
สงสัยจะเป็นอาหารควบคุม 😛

ตักแบ่งใส่ถ้วยเล็กได้ เพราะให้มาเป็นชามใหญ่ ไข่หวานหั่นฝอยอร่อย ไม่หวานเกินไป
ข้าวสวย หอม มัน อร่อยมาก แต่ปลาไหลน้อยไปหน่อยนะ 😛
ข้าวหน้าปลาไหลทรงเครื่องข้าวหน้าปลาไหลทรงเครื่อง

ปลาหิมะเนื้อหวานอร่อยดี พร้อมเครื่องเคียง เป็นสลัดผักกับกิมจิ
กิมจิที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เหมือนผัดมา มีเนื้อหมูใส่ด้วย
สลัดผักกิมจิ
ถ่ายซุปมิโสะมาไม่ทัน ซดหมดก่อน เค็มเหมือนกัน แต่เต้าหู้เป็นแบบเนื้อแข็งต่างจากที่อื่นเล็กน้อย

มีของหวานแถมฟรี เป็นเหมือนน้ำผลไม้เกล็ดหิมะ กินล้างปาก หวานชื่นใจ
น้ำผลไม้เกล็ดหิมะ

น้ำเปล่าขวดละ 20 ไม่มีน้ำแข็งให้ รินได้ 2 แก้วถ้วน เครื่องดื่มอื่นๆ แพง! (ชาเขียว 50 น้ำผลไม้ 80) (O_o!)
บริการดีตามสมควร แต่ดูเมนูรวมๆ แล้วอาหารค่อนข้างราคาสูง โดยเฉพาะปลาดิบ (แบบรวมนี่ขึ้นหลักพันทั้งนั้น)
แล้วก็ทุกอย่างรสจะค่อนข้างเค็มไปหน่อย มีเซอร์วิสชาร์จ 10% กับ vat 7% ตามมาตรฐาน
เบ็ดเสร็จเช็คบิลไป 766 บาท ใช้บัตรสมาชิกลดไปเหลือ 689 บาท คิดแล้วคงไม่ได้ไปกินบ่อยๆ

บาป

อ่านกระทู้ที่ narisa.com มาฝึกหัดเขียนโปรแกรมแก้ปัญหาสั้นๆ กัน
นอกจากได้ดูตัวอย่างโค้ดเจ๋งๆ แล้ว ก็ชอบมุก “ทำ/เขียน…..แล้วไม่…..เป็นบาป”

ได้ยินครั้งแรกเมื่อปีก่อนจาก @roofimon ตอนไปหาที่บ้านให้ช่วยอธิบาย Spring Framework
“เขียน Java แล้วไม่ใช้ Spring เป็นบาป”

เอามาเล่นเองตอนเขียนเชียร์หนัง Wall-E ว่า “ถ้าไม่ดู WALL-E ในโรงหนังให้ได้ซักครั้ง เป็นบาป”

อ่านกระทู้ข้างต้นด้วยความเมามัน แล้วก็ตั้งเป้ากับตัวเองตอนนี้เลยว่าจะแก้บาปข้อนี้ให้ได้
“เขียน Spring แต่ไม่ใช้ Grails เป็นบาป”

รู้สึกละอายใจที่ปลายปีที่แล้วไปขอฝึกวิทยายุทธ Grails จากพี่ป๊อก (@pphetra)
เสนอหน้าไปแค่วันเดียว แล้วก็ติดนู่นติดนี่ หนีเที่ยวภูกระดึง กลับมาปั่นจักรยานแหกโค้งอีก
เป็นอันว่าหมดเวลาว่างหลายเดือนนั้นไปเปล่าๆ ปลี้ๆ
ขอประจานตัวเองออกอากาศแล้วก็ขอโทษพี่ป๊อกซะคราวเดียวกันนี้เลยครับ T_T

ปีนี้่ตั้ง resolution ด้วย Grails นี่แหละ จะได้ไม่ “บาป”

Bolt ซูเปอร์โฮ่ง ฮีโร่หัวใจเต็มร้อย

ก่อนไปดูคิดว่าชื่อไทยหนังเรื่องนี้มันเฮ้ยเห่ย…แต่ดูจบแล้วก็ชอบจนยอมให้อภัย
ชื่อมันก็สมกันดีกับเนื้อหาหนังที่ทั้งน่ารักแล้วก็สนุกเรื่องนี้แล้วแหละ
bolt-poster
เรื่องนี้เป็น 1 ใน 3 หนังที่เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยม
ร่วมกับ Wall-E และ Kung Fu Panda แล้วก็แพ้วอลล์อีไปแบบไม่ต้องลุ้นอะไร
ซึ่งก็ได้ดูครบทั้งสามเรื่องแล้ว ชอบทุกเรื่องเหมือนกัน

ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าหนังได้รับการประชาสัมพันธ์ค่อนข้างน้อย ซึ่งทางดีสนีย์ประเทศไทยเอง
ก็เหมือนจะมองข้ามไป หันไปเน้นหนังโปรแกรมถัดไปอย่าง Racing to Witch Mountain ของเดอะร็อคแทน
ดูได้จากบิลบอร์ดตรง BTS สถานีสยาม กับ MRT พหลโยธิน เหมือนจงใจหลีกทางให้ Watchmen
ที่ฉายชนกันสัปดาห์นี้ ก็น่าเสียดายนิดนึง

Bolt เล่าเรื่องของหมาตัวเอกที่เติบโตมาในกองถ่ายโดยถูกทำให้เชื่อว่าเรื่องราวการผจญภัยกับสาวน้อยเพนนี
เป็นความจริง รวมทั้งพลังพิเศษทั้งหลายที่มันมีด้วย ฉากเปิดเรื่องทำได้ตื่นเต้นเร้าใจดี อันนี้ชอบ

จนเกิดเหตุทำให้โบลท์เข้าใจผิดว่าเพนนีถูกจับตัวไปจริงๆ เลยหาทางช่วยเต็มที่ จนพลัดหลงไปไกลจากฮอลลีวู้ดถึงนิวยอร์ค
แล้วก็เข้าสูตร 1 หมา 1 แมว 1 หนู ที่ต้องเดินทางกลับบ้านข้ามประเทศ ผจญภัยร่วมกัน ได้อารมณ์โร้ดมูฟวี่นิดๆ
ตัวละครได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สนุกสนาน ตื่นเต้น ซาบซึ้ง ครบรสตามประสาหนังดีสนีย์
bolt-firstlook
ถ้าใครดูน่าจะชอบตัวละคร ไรโน่ เดอะแฮมสเตอร์ หนูโอตาคุในลูกบอลใส ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของโบลท์แบบเข้าเลือด
เป็นตัวขโมยซีนมาก ผมฮากับมันสุดๆ โดยเฉพาะฉากออกจากลูกบอลครั้งแรก
แล้วก็มีมุกกัดจิกวงการมายาทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเขียนบทเพื่อเปลี่ยนตัวนักแสดง การยืดเรื่องออกทะเล
แบบกู่ไม่กลับราวกับว่าผู้สร้างมีสมองเหมือนนกพิราบที่คิดเนื้อเรื่องแบบนั้นออกมาได้

หนังดูสนุก ความยาว 103 นาที ก็ประมาณชั่วโมงครึ่งตามมาตรฐานอนิเมชั่นทั่วไป
ฟังเสียงจอห์น ทราโวลต้าพากย์เป็นโบลท์ก็ทำได้ดี ซับไตเติ้ลไทยเยี่ยมมาก เก็บมุกได้ละเอียด
อันนี้เชื่อมือขาประจำค่ายนี้ (คุณธนัชชา ศักดิ์สยามกุล) สรุปว่าสนุกมาก ชอบมาก (อีกแล้ว)

มีข้อสังเกตกันว่า กระแสของ Bolt อาจทำให้หมาพันธุ์อเมริกันไวท์เชพเพิร์ดเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากขึ้น
เหมือนสมัยที่การ์ตูน Finding Nemo แทบจะทำให้ปลาการ์ตูนหมดทะเลไทย
แต่ก็อาจถูกทิ้งมากขึ้นหลังกระแสหมดไปได้เหมือนกัน

ขอดื่มเหล้าให้ดีๆ จะได้ไหม

“…แต่ปัญญาที่รัฐไทยทำกับเหล้านั้นมีแค่การผลิตเหล้าชั้นเลวไว้ฆ่าประชาชนทางอ้อม
และผูกขาดการค้ากำไรไว้แต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่ปากก็พร่ำสวดมนต์พูดถึงศีลธรรม ก่นด่าเหล้า
ว่าเป็นต้นตอแห่งความต่ำทรามของสังคม…”

ขอดื่มเหล้าให้ดีๆ จะได้ไหม
คำ ผกา
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1480
ประจำวันที่ 26 ธ.ค. 2551-1 ม.ค. 2552 ปีที่ 29

ไปบางปู ดูนกนางนวล

อ่านคอลัมน์เชลล์ชวนชิมในมติชนสุดสัปดาห์ เค้าบรรยายอาหารที่บางปูซะน่ากินเลยอยากไปบ้าง
ยิ่งช่วงหน้าหนาวมีนกนางนวลให้ดูด้วย เคยอยากไปมานาน แต่ก็ไม่ได้ไปซักที คราวนี้สบโอกาส
ไปถึงก็ตื่นเต้นมากครับ เกิดมายี่สิบกว่าปี เพิ่งเคยมาบางปูเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้เห็นสะพานสุขตา ศาลาสุขใจ
สมใจอยากแล้ว

ไปถึงก็มีคนเต็มเลย รถจอดเต็มกลางสะพาน นกนางนวลบินกันว่อน มีกากหมูขายไว้โยนให้นกกิน
มีแบบที่เป็นมันไก่สำหรับชาวมุสลิมด้วย นกก็บินโฉบกันไปมา
ผมไม่ค่อยได้ดูนกนางนวลเท่าไหร่นัก เพราะส่วนมากดูแต่นกบ้าน นกสวน (เคยเขียนชวนดูนกในสวนรถไฟ)
นกน้ำก็ดูบ้้างสมัยอยู่ชลบุรี ส่วนมากมีแต่นกยาง พวกยางโทน ยางกรอก ยางควาย นางนวลก็มีบ้าง
แต่ไม่เคยเห็นเยอะเต็มท้องน้ำแบบที่บางปู ดูเพลินไปเลย

เดินข้ามสะพานมาก็เจอนกเข้าแถวต้อนรับ น่ารักจริงๆ มองไปเห็นมีตัวนึงผิดประหลาดกว่าชาวบ้าน
พอดูชัดๆ ก็เห็นขายาว คอยาว ตัวขาว ตีนดำ เกาะอยู่ตัวเดียวโดดๆ แบบนี้ เป็นยางโทนแน่นอน
ถ้าเพ่งดูดีๆ จะเห็นปลายปากเป็นสีดำ นั่นคือ ยางโทนน้อย ถ้ายางโทนใหญ่ปากจะเหลืองทั้งปาก
ยกเว้นฤดูผสมพันธุ์ ปากจะดำ และมีขนเจ้าชู้ยาวที่อกและหางทั้งสองชนิด
นกยางโทนน้อย

ส่วนมากที่บางปูจะเป็นนกนางนวลธรรมดา กับนกนางนวลแกลบ แต่ผมจำได้แต่นางนวลธรรมดา เพราะมีเอกลักษณ์ที่ปลายปีก
จะเป็นแต้มสีขาวในนกโตเต็มวัย ถ้าเป็นนกเด็ก (คู่มือดูนกใช้คำว่า นกวัยอ่อน แต่ผมชอบเรียกนกเด็ก) จะยังไม่มีแต้มขาว
แต่ปลายหางกับแถบปีกบินจะเป็นแถบสีดำ
นกนางนวลธรรมดา

เวลาแช่น้ำปีกจะพับไปข้างหลังเห็นเหมือนเป็นหางสีดำ ดูตอนบินถึงจะเห็นว่าหางสีขาวล้วน
นกนางนวลธรรมดา

ดูมันมองไปทางเดียวกันหมดเลย น่ารักดี สายตารอคอยชิ้นกากหมูที่จะหล่นลงมา แต่ส่วนมากโดนโฉบกลางอากาศไปหมด
ดูที่บางปูเลยไม่ได้เห็นฉากโชว์จับปลา เคยเห็นที่เกาะลอยศรีราชา จะมีนกนางนวลมาหากิน 3-4 ตัว บินโฉบปลากินกัน
มันจะบินวนอยู่เหนือน้ำไม่สูงมาก แล้วก็พุ่งตัวลงไป ถ้าตาไวพอก็จะเห็นปลาตัวเล็กๆ ติดปากนกขึ้นมา
เผลอแป๊บเดียวมันก็กลืนไปแล้ว เท่มาก แต่นกบางปูกลายเป็นนกขี้เกียจไปแล้ว (หรือมันไม่ค่อยมีปลาให้จับ)

ในคู่มือดูนกของหมอบุญส่งบอกว่า นกจะเปลี่ยนชุดขนเป็นชุดแต่งงาน ก่อนบินกลับไปผสมพันธุ์ที่บ้านเกิดแถวไซบีเรีย
ก็จะเห็นหัวเป็นสีน้ำตาลเข้มสมกับชื่ออังกฤษของมันคือ Brown-headed Gull แล้วก็ขอบตาขาว
ในช่วงปลายฤดูหนาว คงประมาณเดือนมีนาคมถึงเมษายน ไว้จะไปดูอีกที

นกนางนวลนี่จะดูกันละเอียดๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่่ายนัก ยังดีที่นกตัวผู้กับตัวเมียไม่ค่อยแตกต่างกันเหมือนนกบางชนิด
แต่ก็มีชุดขนหลายชุด ตั้งแต่นกวัยอ่อน นกโตเต็มวัย แล้วยังแตกต่างกันในฤดูผสมพันธุ์กับนอกฤดูผสมพันธุ์อีก
ของแบบนี้ต้องไปดูของจริง และดูบ่อยๆ ลำพังดูจากรูปวาดในคู่มือดูนกหรือรูปถ่ายก็จะจำไม่ได้เหมือนได้เห็นของจริงด้วยตัวเอง
สมองเราก็น่ามหัศจรรย์ดีนะครับ เสียดายที่ไม่มีเวลาไปเดินแถบป่าชายเลน เลยไม่ได้เห็นพวกนกกระเต็นบ้างเลย

ดูนกจนพอใจแล้วก็ไปกินข้าวในศาลาสุขใจต่อครับ ไม่มีอะไรมาก มาบางปูก็ต้องกินปูครับ
ดูราคาปูไข่ ปูเนื้อนึ่ง 500-700 บาท ก็ตัดสินใจสั่งทันที ปูหลน 180 บาท (ปูนึ่งมันแพงอะ)
มากับผักสด น่ากินมาก อร่อยดีด้วย
ปูหลน

ต่อไปก็ แกงส้มกุ้งชะอมไข่ ตอนเสิร์ฟเค้าจะแยกชะอมชุบไข่ทอดกับผักมาต่างหาก ก็เทรวมกันกับน้ำแกงส้มที่มีกุ้งอยู่แล้วซะ
อร่อยพอควร แต่หม้อไฟบู้บี้ไปหน่อยนะ หม้อนี้ก็ 180 บาท
แกงส้มกุ้งชะอมไข่

อีกอันนึงก็ ปลาหมึกทอดกระเทียมกรอบ ปลาหมึกนะครับที่กรอบ ไม่ใช่กระเทียม กรอบอร่อยดีจริง เหมาะจะเป็นกับแกล้มมาก
จานนี้ 100 บาทถ้วน แอบแพงเล็กน้อย
ปลาหมึกทอดกระเทียมกรอบ

อาหารโอเค บรรยากาศจอแจหน่อยไม่ถึงกับหนวกหูมาก แต่พอฟ้าเริ่มมืดเท่านั้นแหละ ยุงชุมสุดๆ รีบกินรีบกลับก็จะเป็นการดี