Kona Bike Park #5

ในที่สุดก็ตกลงปลงใจร่วมเดินทางไปกับเค้า หลังจากที่ยังไม่รับปากน้าเด๋อตอน Car Free Day
แต่คิดว่าไม่ไปก็คงจะน่าเสียดาย ถือว่าไปเก็บประสบการณ์ที่เจ็ดคตด้วย ยังไม่เคยไป

วันเสาร์วินกับโบ้ตก็มารับที่บ้านตอนเก้าโมง เก็บกระเป๋ารอไว้แล้ว
มาถึงก็แพ็ครถขึ้นหลังคา ไปสมทบกันที่บ้านพี่อู๊ดที่ลาดพร้าว 62
Kona Stinky Air and Kona Stab Supreme Special Edition on Mazda 3

ออกจากบ้านพี่อู๊ดสิบโมง ไปแวะเอารถจักรยานอีกคันของโบ้ตที่ร้านเวิร์ลไบค์ รามอินทรา กม.8
อารมณ์เหมือนไปรับรถที่ศูนย์ เพราะโบ้ตเอาไปทิ้งไว้ให้ร้านเซอร์วิสนิดหน่อย ก่อนเอาไปลุยหนัก

ก็ขับรถไปถึงสระบุรี เลี้ยวขวาไปทางโคราช กลับรถเข้าไปที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า
อยู่ลึกเข้าไปจากถนนมิตรภาพอีกประมาณสิบกว่ากิโล

เป็นที่ที่เราจะไปกางเต๊นท์และปั่นลงเขากัน ในรูปข้างล่างนี่
(ขอบคุณภาพแผนที่โดยคุณ HYM แห่ง Maxrider.com)
Chetkot
เส้นขาวๆ ก็คือถนนราดยางครับ เราขับรถเข้ามาจากทางด้านซ้ายของแผนที่
ด้านล่างขวาคืออ่างเก็บน้ำ ก็กางเต๊นท์กันตรงตำแหน่ง 7 นาฬิกาของอ่างเก็บน้ำข้างล่าง

สี่โมงเย็น ได้เวลา แต่งองค์ทรงเครื่องกันเรียบร้อย ผมกับพี่อู๊ดไม่มีชุดเกราะครับ มีแค่เสื้อยืด
หมวกกันน็อค แว่นก๊อกเกิลส์ ถุงมือ สนับเข่า/แข้ง ส่วนวินกับโบ้ตพร้อมรบอย่างน่าอิจฉา
แล้วก็เอาจักรยานใส่รถกระบะไปตามทางราดยางขึ้นไปที่จุดชมวิวบนยอดเขา
แล้วก็ปั่น ดิ่ง ไหล รูดลงมาตามเส้นทางสีแดงกับน้ำเงิน (แล้วแต่จะเลือก)

เวลาขนจักรยานขึ้นไปก็จะอารมณ์ประมาณนี้
P9281107.JPG

วันแรกที่ขึ้นไปซ้อมเส้นทาง เป็นวันเสาร์ ยังไม่มีแข่งจริงนะครับ
เหมือนไปลองเล่นกันเอง แต่ผมขอเอารูปวันแข่งให้ดูประกอบเส้นทางก็แล้วกัน

สนามนี้ขึ้นชื่อเรื่องความสนุกครับ ใครๆ ก็บอกตรงกันว่า
“สนามดาวน์ฮิลล์ที่เจ็ดคนเนี่ยปั่นสนุก ทางสั้นๆ ไม่ชันมาก ไม่อันตราย รับรองมันส์”
ผมก็เบาใจ ขนาดเขาอีโต้ยังผ่านมาได้เลย ทางยาวตั้งแปดเก้าโล แถมชันด้วย แบบนี้เจ็ดคตก็ขนม

ขึ้นไปที่จุดปล่อยตัวเลย เส้นทางคราวนี้จะไม่เหมือนปกติ คือการแข่งดาวน์ฮิลทั่วไป
ก็จะเป็นทางลงเส้นเดียว ปล่อยทีละคน จับเวลา ใครลงถึงเส้นชัยข้างล่างเร็วสุดก็ชนะไป
แต่คราวนี้น้าเด๋อ คนจัดงานไอเดียบรรเจิด ทำเป็น dual downhill ครั้งแรก
เป็นแทร็คคู่กัน เอาเทปกั้นกลาง ลงพร้อมกัน แข่งกัน 2 ใน 3 คือผลัดกันลงคนละทาง
ถ้าเสมอกันก็จับสลากตัดสินรอบสาม เส้นทางจะเป็นแบบนี้ครับ
Chet Kot Route
ทางร่วมก็คือทางที่มาแตะกัน ไม่ถึงกับมาวิ่งในช่องเดียวกันนะครับ
แต่ทางตัดคือมันจะไขว้กัน ก็ต้องระวังนิดนึง ถ้ามาเร็วทั้งคู่ ก็คงต้องหลบๆ กันหน่อย
แต่ตลอดการแข่งก็ไม่เห็นมีใครประสานงากันเลย

เนื่องจากเราแค่มาซ้อมกันเอง 4 คน คือมีคนอื่นๆ เค้าก็มาซ้อมเหมือนกัน แต่เราให้เค้าไปก่อน
ลงกันชุดสุดท้าย จะได้ไม่ไปขวางทางคนที่เร็วกว่า ก็เลือกลงทางเดียวกัน เรียงกันไปดีกว่า
ยังไงก็ไล่กันไม่ทันอยู่แล้ว ผมลงหลังสุด เลือกทาง B ก่อนครับ เดี๋ยวค่อยมาลองทาง A อีกรอบ

น้องๆ ที่ทำสนามบอกว่าทาง B ไม่ยาก อัดสปีดได้เต็มที่ แต่คุณพระช่วย!
จุดสตาร์ทมันเป็นแผ่นไม้ยื่นออกไปให้ดร็อปลง สูงประมาณเมตรเศษๆ แถมติดกันสองอัน
อันนึงอยู่ที่ป้ายจุดสตาร์ทเลย อีกอันคือที่กำลังโดดอยู่ในรูปนี้
2 Drops

สามคนแรกก็นำไปก่อน โดดกันไป ตุ้บ…ตุ้บ…เข้าโค้ง หายลับเข้าป่าไป
Going to the forest

ผมก็ลงตามไปทันที

ปั่นๆๆ…ฮึบ…ตุ้บ!…ฮึบ…ตุ้บ!…ครืด…โครม!!!

รถลงไปกอง คอรถหมุนพับไปข้างนึง โลกมืดสนิท
ผมได้ยินเสียงดัง

พล้อก! ปื้ดดดด…

ภาษานักดิ่งเรียกว่า “เอาหมวกไปสแกนพื้น”
(กลับบ้านโน่ทักแบบนี้เลย “เอาหมวกไปสแกนพื้นมาแล้วสิเนี่ย” หมวกมีรอยถลอกกว้างยาวประมาณนิ้วนึง)
รู้สึกจุกนิดหน่อย กับเจ็บๆ ตรงเอวด้านขวา ได้หมูแดงหนึ่งแผ่นที่ใต้ศอกขวาด้วย
(หมูแดงคือตรงรอยถลอกขาวเป็นแผ่น ขอบแผลสีแดง เลือดซิบๆ) (-_-“)

ก็ลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว คิดว่าเร็วนะ เพราะจับรถคร่อมปั่นต่อรู้สึกภาพมันเบลอๆ
ก็เข้าใจว่าแว่นมันไม่เข้าที่ พยายามขยับแว่น แต่แว่นมันก็ตรึงสนิทแน่นอยู่ในช่องหน้ากากหมวกกันน็อค
เลยรู้ตัวว่า “นี่กูกำลังมึน”
เลยเอื่อยๆ ไป ถึงเนินไม้ที่หลักกิโลถัดมา
P9281143.JPG
ปั่นมาอย่างเร็ว อัดขึ้นเนิน ลอยละลิ่ว ตกลงมาอย่างสวยงาม…
ไม่ใช่ละ…ถ้าทำแบบนั้น ผมลอยสวยงาม แต่ตกลงมาศพไม่สวยแน่
ด้วยประสบการณ์แก่กล้า เลยเบี่ยงออกขวา หลบเนินไม้ไปได้อย่างปลอดภัย…อืม…
แต่ถ้าดูภาพจะเห็นว่าอีกเส้นนึงมันจะไม่มีทางให้เบี่ยง ต้องขึ้นเนินสถานเดียว

โอ้ว รอดแล้ว ที่เหลือก็เข้าป่า มุดดงไม้ ดงหิน ไปเรื่อยเปื่อย ชาร์จเบรคเป็นระยะๆ สับซ้ายสับขวา
มันมาก ในป่ามีหินขวางทางแต่ผู้จัดเอาสีแดงไปทาไว้ให้เห็นชัดแต่ไกล ก็เลือกไลน์ซ้ายขวาหลบเอาเอง
เข้าด้านไหนก็อย่าลืมหมุนขาให้บันไดข้างนั้นมันสูงพ้นหินก็แล้วกัน

ช่วงท้ายๆ ทางค่อนข้างชัน ก็ไหลไปเรื่อยๆ ไม่เกินสิบนาที ก็โผล่เส้นชัยครับ
เค้าทำเป็นเนินเล็กๆ ไว้ ถ้ามาเร็วก็อัดขึ้นเนินลอยข้ามไปเลย ผมไหลมาเบาๆ ก็รูดไปสบายๆ
จบ…รอบแรก!!

ลงจากรถ เหนื่อยโคตรๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่การปล่อยไหลมันจะใช้พลังกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมรถเยอะแบบนี้
วินเห็นแขนถลอก เลยเอาสนับศอกมาให้ใส่ เพราะชุดเกราะเค้ามันยาวคลุมศอกอยู่แล้ว

คนขับรถกระบะ ลงมารอแล้ว ก็ขนขึ้นอีกรอบ สนามที่นี่ดีอีกอย่างก็ตรงนี้ครับ
ทางไม่ยาวเกินไป ทางราดยางขึ้นเขาก็สั้นแค่กิโลครึ่ง คนขับรถรับส่งจักรยานไม่ลำบากเหมือนเขาอีโต้
อันนั้นทางขึ้นไกลตั้ง 7-8 กิโล ขับไปส่ง ปล่อยจักรยานดิ่งลงมาถึงข้างล่างแล้ว รถยนต์ยังย้อนมาไม่ถึงเลย

รอบสองก็เอาใหม่ครับ คราวนี้เปลี่ยนมาลงทาง A บ้าง…
อันนี้ง่ายกว่า ไม่มีดร๊อป ลงจากหินก้อนใหญ่แบบหย่อนไหลลงมาได้ ไม่จำเป็นต้องโดด (แต่มันก็มีคนโดดนะ รีบกันจริง)
ช่วงนี้ลองพยายามปั่นดูบ้าง ปกติแค่ปล่อยไหลอย่างเดียวก็จะแย่แล้ว แต่อยากลอง
เวลาดูแข่ง เห็นบางคนเค้าปั่นสับขากันยิก แค่ไหลไปตามแรงโน้มถ่วงมันไม่พอใจใช่มั้ย

การยืนตลอดมันเมื่อยมากครับ เพราะเวลาดาวน์ฮิลมันไม่ค่อยจะมีโอกาสได้นั่งปั่นเลย
บางช่วงนี่ผมขาสั่นเลย มันเกร็งไปหมด พอไปถึงกลางป่าก็พบว่าทาง A มีทางลงชันหลายจุดมาก
ทางที่ชันที่สุดน่าจะเกิน 30 องศาได้ ลงมาเร็วๆ ผมก็พยายามเบรคเป็นช่วงๆ
ดาวน์ฮิลคือศิลปะในการใช้เบรคครับ แต่พอมันเอาไม่อยู่ หน้ารถก็สะบัด
รถก็ลงไปพับ ตัวก็ลอยออกไป

“โว้ว….” กลุกๆๆๆๆ…

กลิ้งครับ กลางทางชันเลย โชคดีที่รถไม่ลอยตามมาฟาดหลัง
ระหว่างกลิ้งตัวลอยอยู่บนผิวดิน รู้สึกว่าหมุนอยู่หลายรอบ แต่ร่างกายสัมผัสพื้นอย่างแผ่วเบา…(จริงเหรอวะ)
สนับศอกได้ผล ลุกขึ้น สำรวจตัวเอง คิดว่าไม่มีอะไรบุบสลาย แค่ผิวหนังไม่กี่มิลลิเมตร
ได้ยินเสียงตะโกนจากข้างบนว่า “เป็นไรมั้ยคร๊าบบ…” เฮ้ย..มีคนได้ยินเสียงเรากลิ้งด้วยเหรอเนี่ย
ก็ทำเท่ ตะโกนไปว่า “ไม่เป็นไรคร๊าบ” แล้วก็มาจับรถยก เตรียมลุยต่อ
หมุนคอรถไปมา ผิดๆ ถูกๆ (-_-“) โอเค ไม่เป็นไรจริงๆ ไปต่อได้

ก็ลงมาเรื่อยๆ คราวนี้ไม่มีอะไรหยุดได้อีกแล้ว เพราะจุดที่ยากที่สุดผ่านมาหมด
สรุป ลงสองรอบ รอบแรกคว่ำ รอบสองกลิ้ง สะบักสะบอมพอสมควร
ไหนบอกว่าทางง่ายๆ ไม่มีอันตรายไงฟระ ผมเห็นลง 10 คน กลิ้งกันซะ 9 คน
ได้แผลสด แผลช้ำกันถ้วนหน้า (ไม่อันตรายคงหมายถึง ไม่อันตราย “มาก”)

พรรคพวกจะต่อรอบสามกัน ผมไม่ไหวแล้ว รู้สึกระบมๆ เลยนั่งรถขึ้นไปเป็นเพื่อนคนขับ
แล้วก็นั่งลงมารับ เริ่มรู้ตัวว่าเจ็บ จะลุกนั่งก็ร้าวเป็นวงกว้างตั้งแต่เอวจนถึงต้นขา
ไหล่ ศอกก็ฟกช้ำแต่เล็กน้อย รู้สึกว่าเป็นธรรมดา แต่ช่วงเอวนี่หนักหน่อย

คืนนั้นนอนระบม จะพลิกตัวลุกนั่งนี่สาหัสเลย เป็นอันว่านอนตะแคงขวาไม่ได้
แถมฝนตกอากาศเย็นอีก ใจก็คิดว่า เวรละ…ฝนตกหนักแบบนี้ ทางเละแน่ๆ

แต่ผิดคาด เช้ามา ทางเปียกแฉะเล็กน้อย ไม่ถึงกับเป็นโคลนเลน แข่งกันได้สบาย
แต่ผมขอผ่านครับ ประหยัดค่าลงทะเบียนแข่งไปได้ 100 บาท ฮ่าๆๆ
แค่ปั่นเฉยๆ ก็พอกัดฟันไหวครับ ปั่นมาจุดอำนวยการ ขึ้นเนินนิดหน่อย
แต่ถ้าให้ลงแข่งด้วย ตายดีกว่า เลยได้แต่เป็นช่างภาพไป

สรุปเจ็บตัวกลับมานิดหน่อย ฟกช้ำพอเป็นพิธี เดินกะเผลกสองวันก็น่าจะหาย
รอยเขียวช้ำที่เอวเข้มขึ้น แต่ลุกนั่งได้ไม่เจ็บปวดมากแล้ว
ยังดีกว่าตอนไปเล่นเคเบิ้ลสกีที่บึงตะโก้ อันนั้นปวดแบบรวดร้าวนานหลายวัน จะถอดเสื้อใส่เสื้อทีต้องร้องโอดโอย
ประสบการณ์นี้สอนให้รู้ว่า ผมต้องมีเสื้อเกราะ ฮ่าๆๆ…อนุมัติด้วย! 😛

เสียดายอีกอย่างที่ไม่ได้เข้าไปในน้ำตกเจ็ดคต ซึ่งจะเข้าไปลึกกว่าตรงที่ผมกางเต๊นท์พักอีกหน่อย
ไม่รู้ว่าสวยแค่ไหน แต่ตรงที่พักกางเต๊นท์ริมอ่างเก็บน้ำ สวย อากาศดี คนไม่เยอะ
ห้องน้ำสะอาด มีบ้านพักให้เช่าราคาไม่แพง มีกิจกรรมเดินป่า กับปั่นจักรยานชมธรรมชาติรอบอ่างเก็บน้ำ
และมีสัญญาณโทรศัพท์ AIS เฉพาะจุดศูนย์อำนวยการเท่านั้น ผมใช้ดีแทคก็ปลีกวิเวกได้เลย
เหมาะกับการมานอนเล่นพักผ่อนดื่มด่ำกับธรรมชาติได้ประมาณนึงครับ ไม่ไกลจากกรุงเทพมากด้วย
เสียอย่างเดียว บนยอดเขาที่จุดชมวิวมีผึ้งเยอะไปหน่อย
P9281217
ไม่รู้ว่าผึ้งมันขาดแคลนน้ำหรือเหงื่อผมหวาน

ปล.รูปอื่นๆ อยู่ใน flickr เหมือนเดิม ถ้าสนใจก็คลิกไปดูได้ครับ

I’m a friday-night bicyclist

ไม่เกี่ยวกันหรอก แต่ปกซีดีนี้มันถูกใจ โน่ซื้อมาจากคลองถมนานแล้ว ยังไม่ได้ฟังเลย
ride friday
ขอบคุณรูปปกซีดีจาก CoverShare โดย @poakpong

ช่วงนี้ว่างเว้นจากการปั่นประจำคืนวันศุกร์ไปหลายสัปดาห์เพราะฝนตกตลอดเลย ฝนหยุดแล้วคงได้กลับมาปั่นกันอีก

ปล.ชื่อเอ็นทรี่มาจากฉายาที่น้อง @mameou ตั้งให้ ชอบครับ

Bangkok Car Free Day 2008

ตื่นเช้าวันอาทิตย์ เช็คความเรียบร้อยของน้องแอร์คู่ใจ เจ็ดโมงครึ่งก็ปั่นไปรวมตัวกับเค้าที่ตึกช้าง
ปีนี้เลยอดไปขึ้นรถไฟฟ้าฟรีเหมือนปีที่แล้ว เพราะมันนัดรวมพลกันใกล้ๆ บ้าน
ถึงตึกช้างก็เจอพี่ป๊อกนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มีรถจักรยานมากันเยอะแยะไปหมด
ทั้งรถเก่ารถใหม่ รถแม่บ้าน รถโบราณ รถซื้อกับข้าว รถส่งลูกไปโรงเรียน รถนอนปั่น! ฯลฯ

แปดโมงก็ร้องเพลงชาติกันหน้าตึกช้าง แล้วก็ยกขบวนปั่นไปสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง
ไปตามเส้นทางพหลโยธิน ตัดเข้าวิภาวดีรังสิตตรงแยกลาดพร้าว

อากาศเป็นใจมาก เมฆครึ้มๆ แต่ฝนไม่ตก แดดเลยไม่มี ปั่นแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ทันสนุกเท่าไหร่
ถึงหน้าสนามไทยญีุ่ปุ่น ก็มีสาวสวยมารอต้อนรับ (ว้าว..) รู้สึกจะเป็นอดีตนักร้องดูโอหญิง
เจอหน้าบ่อยๆ สมัยอยู่ ais เรียกแต่ว่าโน้ต-ตูน จนติดสมอง แต่ไม่รู้ว่าคนไหนโน้ต คนไหนตูน (-_-“)

จอดรถกันก็ไปลงชื่อ แล้วก็สิ่งสำคัญเลย ข้าวกล่องฟรี! (กล่องใหญ่มาก แกงมัสมั่นกับทอดมัน อร่อยด้วย)
กินเสร็จ ก็เตรียมไปรวมตัวกลางสนามกีฬา แปรขบวนเป็นรูปแผนที่ประเทศไทยเหมือนปีก่อน

การจัดการโอเค ทยอยต้อนนักปั่นลงไปยืนเรียงตามจุดที่มาร์คไว้ ถ่ายรูปออกมาสวยงามแน่นอน
ใส่เสื้อยืดที่ได้รับแจกเหมือนกัน มีถุงผ้าสีฟ้าสวย ร่มคนละคัน ตามสี ผมได้ตำแหน่งตรงจังหวัดแม่ฮ่องสอน
แถวๆ เดียวกับปีที่แล้วเปี๊ยบเลย ได้ร่มสีฟ้า ก็ยืนประจำจุด รอคนอื่นๆ ทยอยเข้าสนาม
ก็เข้าใจว่านานแน่ๆ เพราะต้องใช้คนกับรถรวมกัน 1551 คัน (ถ้าฟังไม่ผิด) มากกว่าปีที่แล้วอีก
DSC00063DSC00064

ระหว่างรอก็ไปนั่งๆ คุยกันข้างสนาม ถึงเวลาก็เข้าประจำจุด ถ่ายรูป แต่พระช่วย!
ทางผู้จัดงาน ต้องมีพิธีการอัญเชิญบรรดาท่านๆ ทั้งหลายมายืนอ่านโพย ประหนึ่งว่าได้ช่วยสร้างสรรค์วาระพิเศษนี้ขึ้นมา
และร่วมยินดีที่พวกเราประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน สนใจจะมาดูแผนที่ประเทศที่สร้างจากนักปั่นนับพันคน บลาๆๆ
เซ็งครับพี่น้อง ยังไม่พอ!…มีการแสดงของเด็กนักเรียนต่ออีก

โอ้..แม่เจ้า คนในสนามยืนเรียงกันเป็นพันคนมันจะได้ดูด้วยมั้ย มีแต่ทั่นๆ บนอัฒจรรย์นั่นแหละ ที่นั่งดูสบายใจเฉิบ
ทำไมไม่เห็นใจคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ในสนาม กางๆ หุบๆ ร่มตามความต้องการของผู้จัดที่อยากให้เกิดภาพอันสุดประทับจิต
และบรรยายตลอดเวลาว่า โอว..มันเป็นภาพที่สวยงามมาก ดิฉันอยากให้ทุกท่านได้มาเห็นตรงนี้จริงๆ (จากข้างบน)
แหงสิ..คุณลองมายืนร่วมกับพวกเราพันกว่าคนข้างล่างนี่มั่งมั้ย พวกน้าๆ อาๆ ที่ยืนใกล้ๆ ก็บ่นกันใหญ่
บอกว่าดีนะที่แดดมันไม่ร้อนมาก ไม่งั้นคงมีเดินออกประท้วงแหงๆ

มีคุณน้าข้างๆ คนนึงน่ารักมากครับ เข้าใจว่าทำงานเป็นครู ระหว่างรอแกก็เอางานขึ้นมาทำ
เป็นใบคะแนนของนักเรียนในชั้น เพื่อนๆ ที่ยืนใกล้ๆ ก็มีแซวกันสนุกสนาน

สรุปว่าเข้าไปยืนตั้งแต่ก่อนสิบโมง เสร็จเกือบเที่ยง เคืองมาก ปีหน้าจะไม่ลงไปร่วมด้วยแล้ว
คนชอบปั่นจักรยานไม่ชอบหรอกครับ มายืนเฉยๆ เป็นชั่วโมงน่ะ ปีหน้าผมขอปั่นอย่างเดียวดีกว่า
ลาขาดกันที ลัทธิพิธีการ ฮ่าๆๆ

ปีนี้ไม่มีผู้ว่ากทม.มาเป็นประธาน เพราะยังไม่ได้เลือกใหม่ เราเลยได้เห็นบรรดาว่าที่ผู้ว่ากทม.มาเนียนๆ โชว์ตัว
กับถ่ายรูปอยู่ในงานตามสเต็ปบังคับของฤดูหาเสียง

พอถ่ายรูปอะไรกันเรียบร้อย ก็แยกย้ายกัน ผมมาแวะดูบูธนู้นบูธนี้ไปตามเรื่องตามราว
หน้างานมีน้องๆ นักเรียน ที่อาจารย์พามาโชว์ฝีมือกับจักรยานล้อเดียว เจ๋งมาก ผมก็ว่าจะหัดอยู่เหมือนกัน
DSC00067DSC00068

ไปนั่งรวมตัวกันที่บูธร้าน Max Rider กินข้าว พูดคุยกันกับเพื่อนๆ
น้าเด๋อ เจ้าของร้าน และเป็นคนจัดแข่ง Kona Bike Park ก็ชวนให้ไปแข่ง Kona Bike Park #5
ที่เจ็ดคต สระบุรี อาทิตย์หน้านี้ แล้วก็กำชับให้ไปให้ได้
“ทำสนามหมดไปเป็นหมื่น ถ้าไม่มาซ้อม ไม่มาแข่งกัน จะโกรธให้ดู”
จัดมาถึงครั้งที่ 5 แล้วเหรอเนี่ย ผมไปครั้งแรกหนเดียวเอง

โอเคครับน้า กลัวน้าเคือง ไม่นำเข้าสินค้าแบรนด์ Kona เดี๋ยวผมไม่มีอะไหล่ใช้
เลยแอบเดินหนีไปกินข้าว ยังไม่ตกปากรับคำ play safe ไว้ก่อน

แอบเอารถคนนู้นคนนี้ไปลองปั่นๆ ขย่มๆ เล่น สะใจมาก น้องแอร์อีกคันนึงของน้าเด๋อโดนจับเปลี่ยนช็อคหน้าใหม่
เบามาก จะยกหน้าหรือลองโดดทีนึงก็ลอยอย่างง่ายดาย น่าเสียเงินเป็นอย่างยิ่ง 😛

กินเสร็จ ก็แยกย้าย ปั่นกลับบ้าน ลัดเลาะไปตามเส้นทางตลาดห้วยขวาง แว่บผ่าน ม.หอการค้า
ปั่นกันเป็นขบวน สนุกดีครับ แล้วก็มาทะลุตรงสุทธิสาร ก็ตัดเข้าวิภาวดีรังสิต ปั่นอัดยาวไป
บ่ายโมงกว่าๆ ก็ถึงบ้าน ที่เหลือไปเล่นโดดเนินกันต่อที่สวนรถไฟ แล้วก็ใต้ทางด่วนเกษตร-นวมินทร์
ส่่วนผมก็นอนดูดีวีดีเดี่ยว 7 อยู่บ้าน พักผ่อน เป็นอันหมดไปหนึ่งวัน…

ปล.ปีนี้ไม่ได้พกกล้องไปเหมือนปีก่อน เลยใช้กล้องมือถือถ่ายมาแค่นิดหน่อยเอง คุณภาพพอทน
รูปอื่นๆ ก็ดูได้ที่ flickr เหมือนเดิม
มีนิดเดียว ถ้าอยากดูเพิ่ม อีกซักพักคงมีโพสในมัลติพลาย ไม่ก็ในพันทิปกันให้ตรึม เห็นมีตากล้องไปกันหลายคน

Taken สู้ไม่รู้จักตาย

เพิ่งดูมาเมื่อคืน ชื่อไทยมันฟังดูเหมือนหนังสืบสวนชีวิตรันทดเล็กน้อย
แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นหนังแอ็คชั่นมันส์ระทึก

ชื่อเรื่องมันดันไปพ้องกับทีวีซีรี่ส์มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวมนุษย์ของสปีลเบิร์กเมื่อหลายปีก่อน
แล้วยังไปคล้ายกับเกมสุดฮิต Tekken ที่กำลังทำเป็นหนัง จนบางคนนึกว่าถ่ายทำเสร็จออกมาฉายแล้ว
ต้องคอยแก้ให้ว่า ไม่ใช่! (เฟร้ย!!)
taken poster
ไบรอัน (เลียม นีสัน) อดีตซีไอเอ ที่ลูกสาวถูกลักพาตัวไปโดยที่ตัวเองยังอยู่ปลายสายโทรศัพท์ทางไกลปารีส-แอลเอ
เค้ามีเวลาประมาณ 96 ชม. ที่จะตามไปช่วยลูกสาวที่ปารีส ก่อนนั้นก็พูดกับคนร้ายผ่านสายที่ยังไม่วางว่า

“ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใคร ฉันไม่รู้ว่าแกต้องการอะไร ถ้าแกต้องการค่าไถ่ล่ะก็ บอกได้เลยว่าฉันไม่มีเงิน
แต่สิ่งที่ฉันมีคือทักษะเฉพาะทาง ทักษะที่เรียนรู้มาตลอดชีวิตการทำงานที่ยาวนาน ทักษะที่จะทำให้ฉันเป็นฝันร้ายสำหรับคนอย่างแก
ถ้าแกปล่อยตัวลูกสาวฉันเดี๋ยวนี้ ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ฉันจะไม่ตามหาแก ไม่ตามล่าแก
แต่ถ้าไม่ ฉันจะตามหาแก ฉันจะไล่ล่าแก แล้วก็ฆ่าแกซะ” (ไม่เป๊ะๆ นะ แต่ประมาณนี้แหละ)

บทพูดยาวๆ นั่นจะได้เห็นก่อนแล้วในหนังตัวอย่าง ซึ่งทำให้อยากดูขึ้นมาทันที
ตอนแรกก็เดาว่าจะออกแนวสืบสวนมากกว่าแอ็คชั่นไล่ล่า
แต่คิดผิดครับ หนังเป็นแอ็คชั่นเต็มตัว ถึงจะไม่ระเบิดตูมตามแต่ก็ตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่อง
คนที่สนิทกับผมจะรู้ว่าผมชอบไตรภาคเจสัน บอร์นมาก เรื่องนี้ถือว่าเป็นเจสัน บอร์นวัยเกษียณก็ว่าได้
บทไบรอันนี่เหมือน แจ็ค บาวเออร์กับเจสัน บอร์น ผสมกันเลย

หนังกำกับโดย ปิแอร์ มอเรล ศิษย์ลูกหม้อของลุค เบสซอง เคยทำเรื่อง B13 มาก่อน
(เข้าฉายบ้านเราในชื่อ 13th District คู่ขบถ คนอันตราย กำลังจะมีภาคสองด้วยนะ)
ซึ่งเรื่องเก่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากองค์บากไปพอสมควร (ซื้อของเราไปขายแล้วก็ลอกเลยนะ)
เรื่องใหม่นี่ก็ทีมเดิมๆ ทั้งโปรดิวเซอร์และคนเขียนบทก็คือลุค เบสซองนั่นเอง
หนังเป็นสัญชาติฝรั่งเศส เดินเรื่องในฝรั่งเศสก็จริง แต่พูดอังกฤษ ดูง่าย สบายใจ

เลียม นีสันที่ช่วงหลังๆ มักเล่นเป็นอาจารย์หรือพ่อพระเอก
(อาจารย์เจไดในภัยซ่อนเร้น, อาจารย์ของแบทแมน(บีกินส์), อัสลานแห่งนาร์เนีย ฯลฯ)
คงเพราะหุ่นให้ คือสูงใหญ่ (195 ซม.) ยืนกับพระเอกแล้วดูดีส่งเสริมกันบนจอ

ผมรู้จักเค้าเรื่องแรกจากดาร์คแมน หลุดจากคน (แซม ไรมิกำกับไว้สนุกดี)
เรื่องนี้เป็นพ่อเหมือนกัน แถมเก่งและเท่มาก ใครชอบหนังแอ็คชั่นลุยเดี่ยวแบบไตรภาคเจสัน บอร์นไม่ควรพลาด

เฟมก้า แจนเซ่น (สวยน้อยลงเยอะเลย) มาเล่นเป็นแม่ ไม่ค่อยมีบทมาก ซึ่งก็ไม่สำคัญอะไร
แค่ขยายให้เราได้รู้ชีวิตครอบครัวของคนที่เคยเป็นสายลับเท่านั้น
ลูกสาวรับบทโดยแม็กกี้ เกรซ จากซีรีส์ Lost สวยน่ารักใช้ได้ เดี๋ยวต้องซื้อดีวีดีเก็บไว้ดูอีก

หนังยาวพอดีๆ แค่ 93 นาที ฉายจำกัดโรงในบ้านเราแค่สกาล่า กับเซ็นจูรี่ อนุสาวรีย์ชัยฯ
ใครยังไม่แน่ใจก็กดไปดูหนังตัวอย่างก่อนได้ที่ เว็บทางการของหนัง

ปล.อาทิตย์ที่ผ่านมา ดู In Bruges, You Don’t Mess With the Zohan, Sukiyaki Western Django ติดๆ กัน
ไม่ประทับใจซักเรื่อง มาล้างตาได้กับ Taken นี่แหละ ^^

Olympus E-520

สอยมาจนได้ หลังจากจ๋อย ไม่มีกล้องเล่นอยู่ร่วมสองเดือน
เห็นคุณ @vsatayamas ขยันเอา E-420 ใช้งานจนทนอิจฉาไม่ไหว 😛

ถอดเลนส์คิท 14-42mm ออก จับรวมร่างกับน้องแพนเค้ก 25mm ออกมาเอวบางร่างน้อยน่ารักแบบนี้แล…
Olympus E-520 with Lens PancakeOlympus E-520 with Lens Pancake

ตัวนี้กริปใหญ่กว่า E-420 จับถนัดมือขึ้นเยอะ มีระบบกันสั่นมาด้วยในตัว หน้าตาถูกใจสาวกชาวกบอย่างเรา

ต่อไปก็หยอดกระปุกไปสอย zd 70-300mm มาส่องนกข้างบ้านได้แล้ว ^_^