April Fool’s Day is Coming…

เนื่องจากเสาร์อาทิตย์นี้ผมไม่มีโอกาสอยู่ใช้งานอินเตอร์เนทแน่ๆ
เลยคิดว่าคงพลาดเห็นปรากฏการณ์ วันโกหกแห่งโลก ที่ฮอตฮิตเป็นประจำทุกปีบนโลกไซเบอร์
(จริงๆ ผมว่าคงไม่มีใครโกหกแค่วันนี้วันเดียวหรอก)

ปีก่อนๆ มา เวบในบ้านเราส่วนใหญ่ก็พากันเล่นเป็นที่สนุกสนาน
แถมทำให้ผู้ใช้อินเตอร์เนททั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นทุกปีงงกันไปตามๆ กัน
ส่วนใหญ่ก็จะหลอกว่า เวบถูกปิด, เลิกทำเวบ, เลิกเขียนบล็อก, เลิกกับแฟน…(อันนี้เสี่ยงสุด)
เดาว่าเป็นการเช็คเรตติ้งเวบ(และคนเขียน)ไปด้วยในตัว

ส่วนยอดฮิตอันดับสองก็คือให้ความรู้เกี่ยวกับ April Fool’s Day ว่ามันคืออะไร เป็นมายังไง
ใครยังไม่รู้ก็ไปค้นหาอ่านกันเองนะ แนะนำที่ วิกิพิเดีย

ฝรั่งเค้าจัดอันดับเรื่องแบบนี้ไว้ด้วยครับ ดูได้ที่
The Top 100 April Fool’s Day Hoaxes of All Time
เชื่อแล้วว่าเค้าบ้าสถิติกันจริง นึกถึงคำพูดของ ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา
ที่เคยให้สัมภาษณ์หนังสือ GM ไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า ‘ประเทศไทยมีระบบจัดเก็บสถิติที่ห่วยที่สุดในโลก’
อ่านแล้วขำปนเศร้าดีเหมือนกัน

ผมชอบเขียนถึงกูเกิ้ล คงจำกันได้ว่ากูเกิ้ลก็เล่น April Fool’s Day กับชาวโลกเกือบทุกปีเหมือนกัน
ครั้งแรกเมื่อปี 2000 เค้าโม้ว่าเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ ชื่อ MentalPlex มาพร้อมรูปก้นหอยหมุนๆ ให้งงเล่น
ปีต่อมาก็หลอกให้เราหาลูกเล่นแฝง (‘Easter Eggs’ คนชอบดู DVD จะคุ้นเคย) ในหน้าผลลัพธ์หลังกดค้นหา
ปี 2002 กูเกิ้ลเปิดตัวเทคโนโลยี PigeonRank (ปกติคือ PageRank) จัดอันดับหน้าเวบโดยใช้แรงงานนกพิราบ…(-_-“)
ปี 2003 เว้นไป มาอีกทีปี 2004 ก้าวหน้าสุดๆ ด้วยการประกาศเปิดสำนักงานสาขาดวงจันทร์ (จะมีใครเชื่อมั้ยนั่น)
ปีที่แล้วก็งดอีก

ใครอยากเห็นก็ลองเข้าไปดูในเวบกูเกิ้ล ตรงส่วน Holiday Logos เลยครับ
ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้กูเกิ้ลจะมามุก(มุข?)ไหน
ส่วนบ้านเรา ปีนี้หวังว่าจะมีลูกเล่นใหม่ๆ นอกจากปิดเวบกันได้แล้วมั้ง…

del.icio.us : A Collection of Favorites

เพิ่งฉายซ้ำเรื่อง RSS ให้น้องที่รู้จักกันไปอีกรอบ
เลยรู้สึกว่ายังมีคนไม่ค่อยรู้จัก Web 2.0 อีกมาก
แนะนำให้ไปอ่านบทความ What Is Web 2.0 ของ Tim O’Reilly เลยครับ
เค้าเขียนไว้ซักครึ่งปีได้แล้ว

ล่าสุด ตอนนี้หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจก็มี RSS Feed ให้บริการแล้ว
และมีข้อมูล RSS คืออะไร? ไว้ให้พร้อมสรรพ
นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ผมคิดว่าเดี๋ยวเวบอื่นๆ ก็คงจะทำเหมือนกันบ้างในไม่ช้านี้

วันนี้ก็เลยอยากมาแนะนำบริการ(ไม่)ใหม่บนเวบอีกตัวนึง
ซึ่งผมก็ได้ใช้งานมาพักใหญ่แล้ว ก็คือ del.icio.us

ดีลิเฌียส (ภาษาแบบพญาอินทรี ‘รงค์ วงษ์สวรรค์) ก็เหมือน Bookmark Online ดีๆ นี่เอง
ช่วยให้เราเก็บเวบที่ชื่นชอบไว้ แล้วยังแชร์ให้คนอื่นเข้าไปดูได้ด้วย
โดยสามารถแยกเป็นหมวดหมู่ด้วยการใส่เป็น Tag ให้มัน
แถมเรายังดูได้ด้วยว่าเวบที่เราเก็บเข้า del.icio.us มีคนเก็บมาแล้วกี่คน ใครบ้าง
คราวนี้ก็กลายเป็นเครือข่ายโยงใยกันไปหมด (ที่ BlogLines ก็คล้ายๆ กัน)
พอเราเข้าไปดูของคนอื่นๆ ก็ทำให้ได้รู้จักเวบใหม่ๆ ดีๆ เพิ่มขึ้นอีก

สะดวกมากครับ นึกถึงสมัยก่อนที่ผมต้องเซฟบุ๊คมาร์คพกใส่ thumb drive ตลอดเลย
เพราะต้องย้ายเครื่องทำงานบ่อย พอใช้บริการที่ดีลิเฌียสแล้วชึวิตก็ดีขึ้นเยอะ
แถมบน Firefox ที่ใช้ก็มี extension ของ del.icio.us ให้ด้วย
(ตอนนี้เอา Firefox ไปลงบนน้องเปิ้ลที่เพิ่งซื้อมาแล้ว หลังจากที่ทนใช้ Safari อยู่พักนึง)

ใครอยากใช้บริการก็ไปสมัครสมาชิกเลยครับ ฟรีและแถมยังง่ายนิดเดียวเอง
ของผมก็มีแชร์ไ้ว้เหมือนกันที่ del.icio.us/rerngrit หรือคลิกตรง Rerng’s del.icio.us ที่เมนู Links ก็ได้
ใครไปทำไว้แล้วก็เอามาโพสต์บอกกันบ้างนะครับ จะได้ตามไปดู… ^_^

จับเข่าคุยกัน

ได้อ่านบทความของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์
แค่ขึ้นต้นก็รู้สึกถูกใจ เลยอยากเอามาลงไว้ที่นี่ด้วย
อาจารย์ท่านว่าอย่างนี้ครับ

“จับเข่าคุยกัน” ฟังดูดี แต่ขอโทษเถิด มีที่ไหนในโลกนี้สามารถแก้ความขัดแย้งทางสังคมได้ด้วยวิธีนี้บ้าง?
อย่าว่าแต่ความขัดแย้งซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของส่วนรวมเลย
แม้แต่ความขัดแย้งในทางส่วนตัว การจับเข่าคุยกันก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

ที่เหลือไปหาอ่านกันต่อนะ
จาก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1335
หน้าปก ประชาประกาศชัย
บนเวบเค้าก็มีให้อ่านย้อนหลังได้ครับ

ผมเป็นแฟนมติชนมานานแล้ว งานหนังสือประจำปีที่ศูนย์ประชุมฯ สิริกิติ์
ก็ต้องแวะเยี่ยมบู้ทสำนักพิมพ์นี้แล้วก็เสียเงินทุกที

ชอบความคิดหลายๆ คนที่นี่ อย่างน้อยเรื่องการเมืองตอนนี้
มาอ่านที่มติชนหรือกรุงเทพธุรกิจก็จะโอเคหน่อย
ไม่ใช่สุดขั้วเอาแต่สะใจเหมือนผู้จัดการ อันนั้นมันก็เกินไปนิดนึง

อีกอย่าง…ผมไม่ชอบพวกทำลอยตัวเหนือปัญหาของบ้านเมืองตอนนี้
ด้วยการประกาศว่าตัวเองเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
สังเกตจากผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนชอบให้สัมภาษณ์แบบนี้
เพราะมันไม่ช่วยอะไรเลย แต่ก็คงเพราะไม่รู้จะตอบยังไงด้วยมั้ง
มันเลยทำให้หลายคนพากันเป็นกลางตามๆ กันไปหมดอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
ประมาณว่า ใครจะเป็นยังไงฉันไม่สน ขออยู่ตรงกลาง ปลอดภัยไว้ก่อน
ทำมาหากินของตรูอย่างเดียว…

ต้องขอเลียนแบบคำโปรยของโปสเตอร์หนัง X-Men 3 : The Last Stand มาใช้หน่อย
“Take a Stand.” ถึงเวลาต้องเลือกข้างแล้วครับ

ไม่จำเป็นต้องสุดขั้วไปทางไหนก็ได้ เพราะหลายอย่างของฝ่ายพันธมิตรก็มีที่ผมไม่ชอบใจเหมือนกัน
เลือกข้างในที่นี้คือจะเอาทักษิณหรือไม่เอาทักษิณก็พอ
ไม่ใช่จะอยู่ข้างทักษิณหรือจะอยู่ข้างสนธิ อย่างที่มีคนพยายามจะชี้ชวน
เพราะตอนนี้อย่างน้อยผมก็รู้ตัวแล้วครับ ว่าอยากได้รัฐบาลนี้ต่อรึเปล่า…

เอ่อ…สงสัยเพราะควันหลงจากที่ดู V for Vendetta แล้วอินจัดไปหน่อยแฮะวันนี้ 😛

Rerng®IT switches to Mac

ในที่สุดก็ตัดสินใจถอย iBook G4 มาแล้วครับ
หลังจากจดๆ จ้องๆ มาเป็นปี แล้วมันก็ลดราคาลงมาพอให้เอื้อมถึงจนได้

My iBook

กลับมาเปิดเครื่องเล่นทำนู่นทำนี่ให้แบตหมดไปก่อนเลย 1 รอบ แล้วก็ชาร์จไฟซะ
เอาพวกโปรแกรมไม่จำเป็นทั้งหลายที่ติดมากับ OS X ออกซะบ้าง
ไม่รู้ลงอะไรมาให้ตั้งมากมาย กินฮาร์ดดิสไปตั้ง 20 GB
แล้วก็ลง Xcode เอาไว้เขียนโปรแกรมเล่น (ทำไมมันไม่ลงมาให้เลยนะ อยู่ในแผ่นติดตั้งแท้ๆ)

ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้มีโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์อยู่ในเครื่องเลยแม้แต่ตัวเดียว (แต่ยังแอบมี MP3 ที่ rip ไว้ฟังเอง)…(-_-“)
เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้พวกตระกูล Adobe อยู่แล้ว ส่วนชุด Office ก็ใช้พวก Opensource อย่าง NeoOffice เอา
ตอนนี้ก็ทยอยดาวน์โหลดโปรแกรมที่จะใช้มาลงให้ครบๆ อันแรกก็ไปโหลด NetBeans ก่อนเลย
คราวนี้จะได้เขียน Tiger (Java 5.0) บน Tiger (OS X) ซะที ^_^

แอบบ่นมันนิดนึง เห็นตัวเล็กๆ หน้าจอ 12 นิ้วแค่นี้ แต่หนักตั้งสองโลแน่ะ
และที่น่าหนักใจอีกอย่างคือ มันเลอะง่ายชะมัดเลย
แถมต้องมานั่งคิดอีกว่าจะเอาอะไรมาใช้แทน MSN ดี

เลิก FWD Mail ข่าวลือกันเถอะ

วันนี้ได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์เนื้อหาทันสมัยใหม่ล่าสุดมาครับ
เนื้อหาใจความก็คือบอกเล่า(สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็น)ความจริงเกี่ยวกับขนมปังร้านดังที่สยามสแควร์

สองสามเดือนมานี้ร้านนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียง เรื่องเด็กวัยรุ่นฮิตไปต่อแถวซื้อกินกันหลายสิบคน
รอกันทีเป็นครึ่งชั่วโมงถึงชั่วโมงนึง แถมมีกับดักทางการตลาดด้วยป้ายข้อความไม่ให้ซื้อเกิน 10 ชิ้น
(ตอนนี้เห็นว่าเป็นไม่ให้เกิน 25 ชิ้นแล้ว)

ที่ว่าเป็นกับดักทางการตลาด ก็สังเกตจากคนใกล้ตัว เพราะมันมักจะซื้อตามจำนวนที่เค้าจำกัดมาทุกที
คงเพราะอยากจะให้คุ้มสมกับที่รอคิวนานมั้ง เพราะเอาเข้าจริง คนปกติกินขนมปังได้ไม่น่าจะเกิน 2-3 ชิ้น
ที่เหลือก็ไล่แจกชาวบ้าน (ขนมปังเม็กซิกันบัน จะเก็บไว้กินวันหลังมันก็ไม่อร่อยเท่าตอนร้อนๆ จากเตาซะด้วย)

เมล์ที่ได้รับเนื้อหาก็บอกว่ามีประกาศจากทางสาธารณสุขในยุโรปว่าขนมปังที่ว่าเนี่ย
มันอันตรายกว่าขนมปังทั่วไปเกือบ 200 เท่า!!!
เพราะว่ามีทั้งไตรกลีเซอร์ไรด์ และคลอเรสเตอรอลสูง อุดมไปด้วยครีมและไขมัน
แถมมีผลทดสอบมาด้วยอีกนะว่า มีตัวอย่างคนที่กินอาทิตย์ละ 4-5 ชิ้น
แล้วมีน้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็ว

ล่าสุดในญี่ปุ่น ตอนปี 48 ก็เห่อกันน่าดู แต่พอมีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข
คนก็เลิกกิน ตบท้ายข้อความด้วยว่า ที่อื่นๆ เค้าเลิกกินกันหมดแล้ว
ในย่านเอเชียอาคเนย์เนี่ยมีแต่’ประเทศไทย’ นี่แหละ
ที่ยัง(เห่อ)นิยมกินกันอยู่ที่เดียว

อ่านแล้วก็น่ากลัวดีนะครับ อันตรายกว่าตั้ง 200 เท่า
แถมมีประกาศเตือนจากทางสาธารณสุขในยุโรปซะด้วย
แล้วสาธารณสุขประเทศไทยทำไมไม่รู้เรื่องเลย อันตรายขนาดนั้น
เราอย่าไปกินกันเลยดีกว่า…

เดี๋ยวนี้ไม่ชอบใจใคร ก็โจมตีกันง่ายๆ ด้วย fwd mail นี่แหละครับ
แถมลามไปเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง แล้วก็ไม่ได้ดับกันง่ายๆ
เมล์หลอกลวงแนวนี้บางฉบับ วนเวียนอยู่ในโลกอินเตอร์เนทเป็นปีๆ

ที่เห็นชัดๆ ก็พวกเมล์ชักชวนให้ไปบริจาคเลือด, เกล็ดเลือด, ไขกระดูก ฯลฯ
บางฉบับก็เป็นเรื่องจริงครับ แต่คนรับบริจาคเสียชีวิตไปเป็นปีแล้ว
เมล์ชวนไปบริจาคยังล่องลอยเป็นซอมบี้โปรเซสค้างอยู่ในเวิร์ลไวด์เว็บอยู่เลย

อย่างเมล์ร้านขนมปังที่ว่าเนี่ย ใครอยากรู้ก็ง่ายๆ เลยครับ
ไปค้นหาข่าวประกาศที่กูเกิ้ลดูซิว่าประเทศไหนประกาศยังไง
ไปดูซิว่าแฟรนไชส์ของชื่อร้านนี้มันไปถึงยุโรปกับญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่
ขนมปังมันทำจากแป้ง นม เนย แล้วคลอเรสเตอรอลมันจะไปอยู่ไหน
เม็กซิกันบันแบบนี้ มันเพิ่งเกิดมาบนโลกใบนี้พร้อมร้านนี้เป็นครั้งแรกหรืออย่างไร

ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเขียนถึงร้านขนมปัง ที่จริงก็ไม่ได้นิยม
แต่ก็ดีใจแทนเจ้าของที่ประสบความสำเร็จ

ถ้าจะเชียร์กันจริงๆ ผมเห็นเหตุการแบบนี้ที่ร้านพรชัย ตรงบางลำภูมาหลายปีแล้วครับ
ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ขนมปังปอนด์ ใส้ลูกเกด, หมูหยอง, แฮม, เนยสด ฯลฯ
ที่ยัดไส้มาจนทะลักอลังการ กินกันแทบไม่ไหว
ในราคา 30 บาท แถมมีคนซื้อไปขายต่อทั่วเมืองบวกกำไรอีก 5 บาท
พร้อมคำโฆษณาว่า ‘ขนมปังบางลำภู’
ร้านนั้นเค้าก็ต่อคิวกันอย่างกับแจกฟรีเหมือนกัน…

ใครอยากอ่านเมล์เต็มๆ คงต้องรอจากเพื่อนๆ กันเองนะครับ ผมลบทิ้งไปแล้ว
นี่ถ้าเค้าลงท้ายอีกซักนิดว่า “ช่วยส่งต่อๆ กันไปเพื่อเตือนสติเพื่อนร่วมชาติ”
หรือ “ถ้าไม่ส่งไปอีก 10 คน ชีวิตจะประสบความพินาศ” อะไรทำนองนั้น
ผมคงไม่กล้าลบทิ้งแหงๆ เลย…