เด็กเลี้ยงแกะ…20 ปี อัสนี-วสันต์

เด็กเลี้ยงแกะ

บัตรคอนเสิร์ตของ สองพี่น้องจาก จ.เลย คู่นี้ขายหมดเกลี้ยงใน 45 นาที
ทำเอาแฟนพันธุ์แท้แถวนี้เคืองที่ซื้อไม่ทัน เลยพาลไม่ยอมซื้อ CD ผมเลยต้องควักตังส์ซื้อซะเอง
แถมทำให้คนซื้อบัตรรอบแรกที่จะเล่นคืนวันเสาร์เซ็งอีก เพราะดันกลายเป็นรอบสอง
เนื่องจากมีการเพิ่มรอบคืนวันศุกร์กับวันอาทิตย์เข้ามาคร่อมทีหลัง
ผู้สันทัดกรณีในการนี้บอกว่า จริงๆ มันก็ต้องมีสามรอบตั้งแต่แรกนั่นแหละ
เพราะอิมแพ็คอารีน่าเมืองทองมันจองแค่วันเสาร์วันเดียวไม่ได้หรอก มันต้องศุกร์เสาร์อาทิตย์
เอาเป็นว่าคนรู้ทันก็ได้รอเพิ่มรอบสมใจ (แล้วยังจะมีที่โคราชกับภูเก็ตอีก เอากะเค้าสิ)

ผมเป็นแฟนพันธุ์ทางของเค้าก่อนที่จะมานั่งเป็นผู้บริหารค่ายมอร์มิวสิคเต็มตัวเหมือนตอนนี้
เพราะได้ฟังกรอกหูตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นเพลงร่วมสมัยของศิลปินคน(คู่)เดียว แต่มีครบทุกอัลบั้ม
ที่ปะปนอยู่ในคลังมหาสมบัติเพลงลูกทุ่งของพ่อได้อย่างน่าประหลาด เลยซึมซับมาพอสมควร

หยิบมาจ่ายเงินครั้งแรก พลิกดูปกหลังถึงกับตะลึง เพราะมีเพลงมาให้ตั้ง 14 แทร็ค!!!
ผิดกับนักร้องรายวันคนอื่นๆ ที่ปัจจุบันมาตรฐานอยู่ที่ 10 เพลงต่ออัลบั้ม
ดูปกอัลบั้ม ชุดนี้เค้าเลิกใส่เสื้อยืดสีขาวมาใส่สีดำกันแทน แต่ยังกางเกงยีนส์เหมือนเดิม
ข้างในมีคำโปรยเก๋ๆ ว่า

แล้วเด็กเลี้ยงแกะก็ได้เรียนรู้ว่า…
“ไม่มีใครเชื่อคนโกหก
แม้ในขณะที่เขากำลังพูดความจริง”

นิทาน อีสป

มาฟังกันทีละเพลงเลยดีกว่า…

1. เด็กเลี้ยงแกะ
– เพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม สับกันมันมาก แต่ก็เฉยๆ ไม่ค่อยติดหูเท่าไหร่สู้เพลงต่อไปไม่ได้

2. So sad
– เพลงและ MV เปิดตัวอัลบั้มที่กำกับโดยมือดีอย่างคุณเก้ง จิระ มะลิกุล
เอาพี่ป้อม-พี่โต๊ะไปไถลในตลาดสดกันอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ฟังเพลินดีครับ
ชอบสุดแล้วในอัลบั้ม เห็นภาพคนในคอนเสิร์ตกำลังดิ้นเพลงนี้กันอย่างเมามันส์
แต่ก็มีเสียงค่อนขอดว่าสำเนียงคล้าย Hung Up ของเจ๊มะดัน

3. อยากให้อยู่ด้วยไหม?
– ของแท้ต้องมีเครื่องหมายคำถามด้วยนะ เพลงช้าสูตรสำเร็จที่รับรองว่าฮิตแน่นอนตามสไตล์
MV ก็ทำมาเศร้าซะขนาดนั้น ชอบครับ

4. จะพยายาม
– เสียงร้องโดยพี่โต๊ะ วสันต์ ถ้าได้ยินลอยๆ จากวิทยุนี่คงไม่รู้ว่าเป็นเพลงใหม่เลยนะเนี่ย
เนื้อร้องก็ง้องอนคนรักว่าจะพยายามปรับปรุงเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่ อาจโดนใจใครบ้างแหละ

5. ดิน น้ำ ลม ไฟ
– ฟังแล้วทำให้นึกถึงอัลบั้มไตรภาค ที่มาโนช พุฒตาลทำร่วมกับ The Olarn Project
เมื่อสิบกว่าปีก่อน เค้าเรียกโปรเกรสซีพร็อคใช่มั้ย เป็นเพลงที่ยาวที่สุดในอัลบั้มด้วย

6. เจ็บแต่ดี
– นิ่งๆ เนิบๆ งั้นๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ฟังแล้วรู้สึกว่า เมื่อไหร่จะจบ

7. รู้เลย
– เพลงสุดท้ายที่วสันต์ร้อง (ใช่แล้วครับ เค้าร้องอัลบั้มละ 2 เพลงเป็นสแตนด์ดาร์ด ฮา…)
เหมือนเป็นเพลงเดียวกันกับ จะพยายาม ที่เนื้อเรื่องคล้ายจะต่อเนื่องกัน
ผมฟังแล้วขำน่ะ เพราะทำให้รู้ผลของความพยายามจากเพลงก่อน

8. สู้สุดใจ
– เพลงที่ใช้โฆษณาไฮลักษ์วีโก้ อารมณ์เหมือนพวกเพลงเชียร์เบียร์ช้างของคาราบาว
ผสมเพลงปลุกใจแบบขวานไทยใจหนึ่งเดียว ฟังดูเชยๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

9. ยืนหยัด ยืนยง
– เพลงประกอบละคร ลอดลายมังกร ปี 2549 แต่งโดยพี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค
รับประกันเนื้อหาของเพลง แต่เคยได้ยินในทีวีแล้วเลยไม่รู้สึกว่าเป็นเพลงใหม่เลย

10. ใกล้กับไกล
– เพลงนี้ก็แต่งโดยนักแต่งเพลงที่มีคนชอบกันเยอะ คือคุณเขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์
ร่วมงานกับอัสนี-วสันต์มาเกือบทุกชุด แต่เพลงนี้ผมฟังแล้วเฉยๆ ออกจะเบื่อๆ ด้วย
ฟังมา 10 เพลงแล้วยังไม่เจอเพชรที่ซ่อนในอัลบั้มเลย…

11. 30 กุมภา 2549
– สังเกตชื่อเพลง แปลตรงๆ ก็คือมันไม่มีอยู่จริง เพราะมันคือ interlude คั่นเวลานาทีครึ่ง
ให้พี่ป้อมมาโซโล่เล่นๆ เหมือนที่บอยด์ โกสิยพงษ์ชอบใส่ไว้ในอัลบั้ม

12. ยิ่งสูงยิ่งหนาว
– เพลงเก่าของพี่เต๋อ เรวัติ พุทธินันท์ เอามาร้องสไตล์อัสนี (ผมเรียกสไตล์ เอ้อวๆ)
ไม่รู้สิครับ…เพลง cover มักถูกเปรียบกับต้นฉบับอยู่แล้ว ผลลัพธ์ก็มักจะแย่กว่า
เพลงนี้ก็ไม่พ้นครับ แต่เหมือนใส่มาเป็น hidden agenda ไงไม่รู้
เพราะเนื้อหามันชวนให้คิดถึงคนเว้นวรรค

13. สำเนียงประชาธิปไตย
– เพลงรณรงค์คนรุ่นใหม่ออกมาเลือกตั้ง 6 ก.พ. 48 โดย กกต. และคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
คิดซะว่าเป็นเพลงแถมๆ มาละกัน (-_-“)

14. โศกเศร้าเสียเหลือเกิน (So sad)
– แทร็คสั้นๆ นาทีเดียว เล่นมุกเทปยืด ฟังแล้วรู้สึกเหมือนชื่อเพลง
นึกถึงแทร็คปิดเจ๋งๆ อย่าง เพลงที่เหลือ ของ เฉลียง อัลบั้ม เอกเขนก
อันนั้นพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ทำไว้เจ๋งกว่าเยอะ เพราะมันเป็น เพลง “ที่” เหลือ จริงๆ
(แนะนำให้คลิกลิงค์ไปดูอย่างยิ่ง)

รวมๆ แล้ว ชุดนี้ก็ยังคงกลิ่นแบบยุค ’80 สมัยที่เค้าเฟื่องฟู จนแทบเรียกได้ว่าไม่แตกต่าง
แถมแทร็คที่เพิ่มมาก็เหมือนอัดๆ มาให้ดูเยอะไปงั้นเอง เพลงที่ชอบก็มีไม่มาก (พอดีเป็นพวกหูตลาด)
ปกติเป็นพวกชอบเพลงที่เพราะทั้งอัลบั้ม เลยแอบหวังว่าคงจะมีเพลงเจ๋งๆ ซ่อนอยู่บ้าง ซึ่งก็เปล่า…
แต่ถ้าคิดลึกซักนิด ก็เหมือนอัลบั้มนี้แอบเสียดสีการเมืองอยู่นิดหน่อยเหมือนกันนะ

เพิ่งรู้ว่า CD สมัยนี้แถมโปรแกรมสำหรับเล่นบนคอมพ์มาด้วยในตัว แบบ auto run
หมดสิทธิ์ใช้ Windows Media Player ริปมาเป็น MP3 เลย (ถ้าไม่รู้เรื่องคอมพ์นัก)
แต่ iTune บนน้องเปิ้ลแก้ปัญหานี้ได้ครับ ;-P

ชุดนี้สำหรับคนที่รักชอบกันอยู่ก็คงไม่พลาดที่จะซื้อมาเป็นสมบัติส่วนตัวอยู่แล้ว
เพราะรอกันมาตั้ง 4 ปี จากอัลบั้มจินตนาการ
แต่สำหรับผม บอกได้แค่ว่า “ผิดหวังนิดหน่อย” ครับ
สมชื่อเพลง โศกเศร้าเสียเหลือเกิน (So sad)
เฮ้อ…

The Hunt is on…Execute!!!

M:i:III Banner

ตอนพิมพ์นี่ อีกไม่กี่นาทีก็จะเข้าวันที่ 3 แล้ว
กว่าจะได้เอาขึ้นก็ต้องเป็นตอนเช้า เพราะที่ห้องไม่มีเนท
ใครยังไม่ได้ดูหนังก็อ่านได้ครับ เพราะจะไม่เขียนถึงส่วนสำคัญๆ ของเรื่อง

ปฏิบัติการที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ฉบับหนังโรงนี้ นับตั้งแต่ภาคแรกเมื่อปี 2539
มาถึงภาคสามนี้ก็ 10 ปีพอดี และคงสร้างต่อไปได้อีกหลายภาค

ซีรี่ส์ต้นฉบับที่เคยสร้างฉายทางทีวีมาแล้วสองรอบ เมื่อปี 2509 กับ 2531
เป็นเจ้าของประโยคทอง (ที่ถูกเลียนแบบนับครั้งไม่ถ้วน)
“ข้อมูลนี้จะทำลายตัวเองใน 5 วินาที”
กลายเป็นหนังจอใหญ่ครั้งแรก ด้วยฝีมือผู้กำกับไบรอัน เดอ พัลมา
แถมยังทำร้ายจิตใจแฟนานุแฟนด้วยการทำลายทีมดั้งเดิมทิ้ง
เปิดทางให้ อีธาน ฮันต์ สมาชิกทีมขาลุยเป็นพระเอกเต็มตัว
แล้วยังให้ จิม เฟลส์ หัวหน้าทีมเก่าเป็นผู้ร้ายซะงั้น (โดนแฟนเก่าแก่บ่นกันอุบ)
แต่หนังก็ถือว่าสอบผ่าน และได้คะแนนดีซะด้วย

พอมาภาคสองปี 2543 ก็ได้ผู้กำกับคนเก่งจากฮ่องกง จอห์น วู
ทำให้หนังกลายเป็นบู๊แอ็คชั่นดาดๆ แถมปล่อยนกพิราบบินว่อนตามสไตล์
ไม่ได้เป็นแบบ “ขบวนการพยัคฆ์ร้าย” เหมือนเก่า แต่ก็ดูได้เพลินๆ
ฉากไล่ล่าบนถนนตอนท้ายก็มันส์ถึงใจดี
จะขัดตาก็ทรงผมบ๊อบยาวของอีธาน ฮันต์นั่นแหละ
ที่ไม่ได้ทำให้ดูเป็นสายลับมืออาชีพเอาซะเล้ยยยย…

พูดถึงชื่อซีรีส์เดิม “ขบวนการพยัคฆ์ร้าย” (เคยฉายทางช่อง 5)
ทำให้นึกถึงแก๊งแคนดิดที่คอยแกล้งอำชาวบ้าน
ในรายการทไวไลท์โชว์สมัยแรกๆ (เหมือนสาระแนสมัยนี้)
ที่มาในชื่อ “ขบวนการพยักหน้า” มีใครจำได้บ้างเนี่ย…

ภาคนี้หลังจากที่เดวิด ฟินเชอร์ ผู้กำกับจาก Fight Club
กับ โจ คาร์นาแฮน บอกปัดไป เพราะรอเปิดกล้องไม่ไหว
เราเลยไม่ได้เห็นมุมกล้องแปลกๆ แบบ Fight Club กับ Panic Room
แต่ก็ได้คนดีมีฝีมือจากวงการหนังซีรี่ส์ เจ.เจ. อับรามส์ มาดูแลต่อ
(ใครเป็นแฟน Alias กับ Lost คงคุ้นชื่อกันดี)

หนังตอนล่าสุดนี้ทำให้รู้ว่าอีธาน ฮันต์มีชื่อกลางว่า แม็ทธิว
แถมคราวนี้ยังได้ Hunt กันสะเด็ดสะเด่าสมชื่อพระเอก
กับชื่อไทย “ภารกิจล่าทรชนข้ามโลก”

บทร้ายของ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมน คนที่ดูหนังตัวอย่าง
คงได้เห็นไดอะล็อกเฉียบๆ ของเค้าไปแล้ว
ในหนังเค้าก็เจ๋งจริงๆ ครับ เป็นนายหน้าค้าอาวุธ
ที่ดูเก่ง ใจเย็น ฉลาดได้น่าเชื่อมาก เวบเมืองนอกชมกันว่า
เรื่องนี้บทเค้า cool as ice จริงๆ (ชักอยากดู Capote แล้วสิ)
แถมมีทีมลูกน้องชั้นดี ที่ทำงานกันเร็วมาก
และมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบราชการ(ไทย!?)ตั้งไม่รู้กี่เท่า

หนังมีเอกลักษณ์ทุกอย่างของ Mission Impossible ที่วางไว้ดีตั้งแต่ภาคแรก
ไม่ว่าจะเป็นเทปที่ทำลายตัวเองได้ หน้ากากเหมือนจริงสำหรับปลอมตัว
ที่คราวนี้ไม่ได้เห็นแค่ตอนถอดออกทิ้งเฉยๆ เหมือนภาคก่อนๆ
และฉากโรยตัวสุดคลาสสิค ยังนึกชมคนเขียนบทอยู่เลยว่า
ช่างคิดหาโจทย์ที่ยากและน่าทึ่งขึ้นเรื่อยๆ ออกมาได้อีก
(ผู้กำกับเจ.เจ.อับรามส์ขนคนเขียนบทมาจาก Alias ทั้งทีม)
เหมือนที่ลูเธอร์ ตัวละครที่รับบทโดย วิง เรมส์ พูดในเรื่องนั่นแหละ
ว่างานคราวนี้ทำให้งานที่เคยทำที่แลงลี่ย์ง่ายเหมือนกินหมูไปเลย
(แลงลี่ย์คือชื่อเมืองที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ CIA ที่อีธานกับทีมภาคแรก
เข้าไปขโมยรายชื่อสายลับ)

สิ่งที่ชอบของหนังชุดนี้ก็คือ อุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลายที่ดูดี
ซึ่งมันก็โม้เว่อร์ๆ ตามแบบมันล่ะนะ
แต่มันไม่ดูจงใจโชว์เหมือนเจมส์ บอนด์มากไป
เค้าใช้อาวุธยุทโธปกรณ์กันเป็นปกติ เหมือนเป็นธรรมดา
ที่ต้องมีของแบบนี้ใช้ในหน่วยงานระดับนั้น แต่เราคนดูเห็นแล้วมันน่าทึ่งครับ
(บอนด์สังกัด MI-6 ของอังกฤษ แต่ฮันต์สังกัด IMF : Impossible Mission Force
ไม่ใช่ International Monetary Fund ที่ประเทศเราเคยเป็นหนี้เค้านะ)

ยิ่งปืนที่อีธานใช้ยิงบนสะพานข้ามอ่าวตอนกลางเรื่องนั่น
(ใช่สะพานเดียวกับที่โดนบอมบ์ใน True Lies รึเปล่า?)
ใครจำชื่อรุ่นได้ช่วยมาบอกหน่อยว่ามันมีจริงๆ รึเปล่า แรงสะใจดีจริงๆ
ฟังเสียงแล้วไม่สงสัยเลยว่าอะไรที่โดนปืนแบบนั้นยิง
มันจะมีผลลัพธ์อย่างที่เห็นบนจอได้
(นึกถึงปืนที่อาร์โนลด์ใช้ใน Eraser อันนั้นมันดูโม้เกินไปจนเชื่อไม่ลง)

ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้ติ บางอย่างก็รู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อย
แต่ก็ไม่ถึงขนาดรับไม่ได้ เพราะโดยรวมหนังมันก็สนุกมากด้วย
เลยยอมที่จะข้ามๆ มันไปซะ

ที่สำคัญตัวละครหญิงทุกคนบนจอดูดีหมดเลยครับ
โดยเฉพาะหนึ่งในลูกทีมใหม่ของฮันต์
ที่รับบทโดย Maggie Q นางแบบลูกครึ่งอเมริกันเวียตนามที่ไปเกิดและโตในฮาวาย
(สาวฮาวายที่ได้เข้าฮอลลีวู้ดนี่สวยทุกคนเลย)
เธอเคยเป็นนางเอก Naked Weapon (ผู้หญิงกล้า แกร่งเกินพิกัด)
ที่ผมไม่ยอมดู เพราะนึกว่าเป็นหนังบู๊โป๊ๆ ขายเซ็กส์ เหมือนหนังฮ่องกงห่วยๆ ทั่วไป
แต่เดี๋ยวจะไปหามาดูแล้วแหละ 😉 ปกดีวีดีโซน 2 ของยุโรปดูดีกว่าของบ้านเราเยอะเลย

ทำออกมาได้ขนาดนี้ ภาค 4 และภาคต่อๆ ไปคงเกิดได้ไม่ยาก
เผลอๆ ได้กลายเป็นหนังชุดยาวแบบเจมส์ บอนด์กันไปเลย
(ตัวอย่างหนังบอนด์ตอนที่ 21 Casino Royale ออกมาให้โหลดแล้ว
แต่เป็นเวอร์ชั่นเสียงฝรั่งเศส…ทำไมได้สิทธิก่อนอังกฤษละเนี่ย)

คงไม่ต้องบอกว่าหนังสนุกมาก ไปดูกันเถอะ
เพราะคนที่ชอบดูหนังคงไม่พลาดกันอยู่แล้ว
ขอให้สนุกครับ…

ปล.เดือนนี้เป็นช่วงตักตวงของวงการจริงๆ
เพราะมีแต่หนังฟอร์มใหญ่ๆ มาลงรับซัมเมอร์
สัปดาห์แรกมี M:i:III ถัดไปก็ Poseidon
(เกลียดเสียงพากย์ชื่อเรื่องไทยในหนังตัวอย่างมาก…
โพไซด้อน..มหาวิบัติ เรือยักษ์!!!
เสียงดังอุบาทว์เชียว กลัวคนนึกว่าเป็นอาบอบนวดมั้ง)
ที่เหลือก็ The Da Vinci Code แล้วก็ X-Men : The Last Stand ตามลำดับ

The mission begins last night.

ไม่มีอะไรครับ แค่อยากสแกนมาอวด 😛

Invite Card (front)Invite Card (back)Ticket Theater:5 Seat No. G1

ไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหน เปิดตัวรอบเพรสด้วยจำนวนโรงเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยครับ
ผมเคยไปดูหนังรอบสื่อฯ มาแล้วเป็นสิบๆ เรื่อง ส่วนมากก็จะฉายกันโรงเดียว
หนังใหญ่หน่อยก็ 2-3 โรง มีเรื่องนี้แหละที่ยูไอพีเปิดตัวแบบอลังการจริงๆ

ในเมืองนอกแซวกันว่าค่ายหนังต้องวางแผนประชาสัมพันธ์หนักๆ
เพื่อลบภาพน่าหมั่นไส้ของทอม ครูซ ที่ออกอาการเห่อแฟนใหม่แบบเกินเหตุ
(เคธี่ โฮล์ม…ที่ล่าสุดก็คลอดลูกให้ทอมแล้วเรียบร้อย)
ที่หนักสุดก็ตอนไปออกรายการทอล์คโชว์ของโอปราห์ วินฟรีย์
(หนัง Scary Movie 4 ที่กำลังจะเข้าฉาย ยังเอาไปล้อเลย)
รวมทั้งความสำเร็จแบบน้อยไปหน่อยของ War of the Worlds
เลยต้องกู้หน้ากันสุดฤทธิ์

รอบนี้เจ้าของหนังเปิดตัวที่เมเจอร์รัชโยธิน 7 โรง!!!
ได้ยินว่ามีรอบสำหรับผู้บริหารระดับสูง
ของค่ายต่างๆ ที่แกรนด์อีจีวีอีกโรงนึงด้่วย
ประมาณว่าต้องมีคนได้ดู แล้วช่วยพูดต่อปากต่อปากไปได้เป็นพันคน

วันนี้ฉายจริงแล้ว คงเทโรงให้ฉายกันเกือบหมดทุกซีนีเพล็กซ์แหงๆ
นี่ก็ว่าจะไปดูแบบเสียเงินเองอีกซักรอบ…

X-Men : The Ultimate Guide

ไปเดินเล่นที่คิโนะคุนิยะ สยามพารากอน เจอหนังสือถูกใจเพียบ แต่เห็นราคาแล้วอึ้ง
เลยเปลี่ยนใจไปเอเชียบุ้คส์ คว้าเล่มเดียวกันแต่ราคาถูกกว่าด้วยค่าตัวหนึ่งพันทอนห้าบาท

กลับถึงบ้านไม่หลับไม่นอน อ่านรวดเดียวตั้งแต่หัวค่ำยันตีหนึ่งอย่างเมามันส์
บอกได้คำเดียวว่าใครรักจะเป็นแฟนฮีโร่กลายพันธุ์ทีมนี้ แนะนำเล่มนี้อย่างยิ่งยวด
เรียกได้ว่าเล่มเดียวจบ ไม่ว่าจะแฟนใหม่ แฟนพันธุ์แท้ แฟนงูๆ ปลาๆ (อย่างผม)
ควรที่จะหามาอ่านเล่น รอหนังฉายปลายเดือนนี้

เล่มนี้เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่สาม มีเนื้อหาอัพเดทถึงหนังใหญ่ภาค 3 ที่กำลังจะเข้าฉายด้วย
ส่วนเนื้อหาของตัวละครในฉบับคอมมิคส์ ก็มีเกือบครบทุกตัว
แต่ถ้าเทียบกับในเวบของมาร์เวลเองที่อัพเดทสุดๆ (แหงสิ)
เท่าที่เห็นก็ขาดตัว วัลแคน (เกเบรียล ซัมเมอส์) น้องชายคนเล็กของ
ไซคลอป (สก๊อต ซัมเมอส์) ที่ในหนังสือเล่มนี้ยังเป็นแค่ตัวละครปริศนาที่ยังไม่ปรากฏตัว
มีแต่ ฮาวอค (อเล็กซานเดอร์ ซัมเมอส์) น้องคนรองเท่านั้น

แล้วก็พวกตัวเล็กตัวน้อยที่บทไม่เยอะ ก็ไม่ค่อยมีเขียนถึง
อย่าง Multiple Man กับ Stacy X ที่มีบทในหนังภาค 3 นี้เหมือนกัน
ก็ไม่มีข้อมูลอะไรมาก

หน้าแรกก็จะเจอคำนำของ สแตน ลี
ผู้ให้กำเนิด X-Men (และเรื่องอื่นๆ ของมาร์เวล) ว่าทำไมตั้งชื่อนี้
ตอนแรกเค้าจะใช้ว่า The Mutants แต่ บก.ไม่ให้ผ่าน เพราะกลัวคนอ่านไม่เข้าใจ
สแตนก็บอกขำๆ ว่าขนาด Mutants ยังจะไม่เข้าใจ แล้ว X-Men จะรู้เรื่องเหรอ(ฟระ)
แต่สุดท้ายก็สรุปที่ X-Men เพราะในเรื่องทุกคนเป็นทีม (Men)
ของโปรเฟสเซอร์ X (Prof.Charles Xavier) ผู้ก่อตั้งทีม

ก็ถือว่าละเอียดดีครับ เพราะมีข้อมูลตั้งแต่เริ่มต้นในจักรวาล X-Men เลย (ปี 1960)
จริงๆ ทั้ง จักรวาลมาร์เวล ด้วยซ้ำ เพราะเนื้อเรื่องทับซ้อนกันไปหมด
เรียงลำดับสมาชิกตั้งแต่รุ่นก่อตั้ง ว่าเป็นมายังไงถึงถูกชวนเข้าทีม

รวมถึงเหตุการณ์สำคัญๆ เกือบทุก Timeline และ Alternate Timeline
(หมายถึงพวกจักรวาลคู่ขนาน, โลกอนาคต หรือจักรวาลที่แตกต่างออกไปเลย)
อย่าง Age of Apocalypse, Days of Future Past, Dark Phoenix Saga
และตอนอื่นๆ อีกเพียบ

ไปจนถึงซีรี่ส์ลูกหลานที่ออกมาอย่าง Weapon X (กำเนิดวูฟเวอร์รีน)
บอกหมดแล้วว่าโลแกนชื่อจริงว่าอะไร อายุเท่าไหร่ (อ่านแล้วจะอึ้ง)
ทีม Alpha Flight ของแคนนาดา ที่วูฟฟี่เคยสังกัดทีมก่อนย้ายมา X-Men
X-Factor ที่ก่อตั้งขึ้นหลัง X-Men สลายตัว (ก่อนจะมารวมกันใหม่)
Excalibur, Generation X, X-Force, Mutant X และอีกสารพัด X

สำหรับแฟนใหม่คนไทยที่อ่านแต่ฉบับแปลของ สนพ.บงกช
ที่เอา New X-Men กับ Ultimate X-Men มาพิมพ์
เล่มนี้ทำให้เข้าใจว่าจักรวาล Ultimate เป็นการนับหนึ่งใหม่ แตกต่างกับจักรวาลมาร์เวลเดิม
เพื่อให้แฟนใหม่ที่ไม่ได้ติดตามการ์ตูนชุดนี้ตั้งแต่ 40 กว่าปีที่แล้ว เริ่มต้นจากตรงนี้แทน

สำหรับผมก็ทำให้คลายข้อสงสัยเรื่อง แองเจิ้ล (มีบทในหนังภาค 3 แล้ว)
ที่เกือบหน้าแตกไปท้วงว่าจริงๆ ต้องชื่อ อาร์คแองเจิ้ล
เพราะที่จริงแล้วต้องเป็นแองเจิ้ลนั่นแหละ ก่อนที่จะไปใช้ปีกเหล็กอยู่ช่วงหนึ่ง
ถึงได้เปลี่ยนชื่อ ตอนหลังกลับมาเป็นปีกนกเหมือนเดิมก็ใช้ชื่อใหม่ไปเลย

รู้แล้วด้วยว่าทำไมวูฟเวอร์รีนที่เคยโดนแม็กนีโตใช้พลังแม่เหล็ก
ดูดเอาสุดยอดโลหะ “อะดาแมนเทียม” ที่เคลือบกระดูกออกไป เหลือแต่กรงเล็บกระดูก
กลับมามีอะดาแมนเทียม กรงเล็บคมแบบใบมีดเหมือนเดิมได้ยังไง

ข้อมูลเกือบทั้งหมด จะว่าไปแล้ว หาอ่านจากเนทยังละเอียดและอัพเดทกว่า
แต่หนังสือราคาไม่แพงมากนัก กับภาพสวยๆ (สวยจริงๆ ครับ อยากเน้น)
เปิดอ่านง่ายๆ และละเอียดขนาดนี้ ผมว่าคุ้มมากครับ
กำลังคิดว่าจะสะสมพวก Ultimate Guide แบบนี้ทุกเรื่องทุกเล่มซะเลยดีมั้ยนะ…

แจกฟรี CD Linux Ubuntu 5.10

จากที่ไป กระทบไหล่ชัทเทิลเวิร์ธ มาคราวก่อน
เลยได้รับพัสดุไปรษณีย์จาก บริษัท Canonical ส่งมาให้ถึงออฟฟิศ
ดูจากกล่องเลยรู้ว่าเดินทางมาจากเนเธอร์แลนด์ถึงกรุงเทพด้วยค่าตัว 5 ยูโร
ภายในบรรจุ CD Ubuntu 5.10 เหมือนที่เคยได้จากสัมมนาตอนนั้น (มีรูปอยู่ในบทความเก่า)
พร้อมโน้ตและลงชื่อมาโดยมาร์ค ชัทเทิลเวิร์ธเองซะด้วย ขอปลื้มนิดนึง ^_^
(จริงๆ มันแค่ถ่ายเอกสารมาเอง)

Ubuntu Linux 5.10

ใคร่ครวญดูด้วยตัวเองเป็นเวลา 15 นาทีเต็ม พบว่าไม่มีปัญญาใช้เองได้ทั้ง 20 ชุดเป็นแน่
จะเอาไปไล่ตีหัวแจกชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป ก็เสียดายที่จะไม่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
กลายเป็นทิ้งขว้างไปซะเปล่าๆ

เลยเอามาแจกในนี้ดีกว่า เผื่อจะช่วยฉุดเรตติ้งเวบที่มีคนเข้ามาดูแค่พันกว่าครั้งได้บ้าง
(พันครั้งคือตัวเอง ที่เหลือคือสมาชิกภาคบังคับกับพวกที่หลงมา)
ผมลองเล่นเวอร์ชั่น Live CD บน PC ดูแล้ว (ไม่มีเครื่องว่างให้ลง Install CD แบบเต็มๆ)
ใช้ง่ายและสวยอย่างที่เคยพูดถึงไว้จริงครับ หน้าตาดูดีมีชาติตระกูลมาก
ได้ยินว่าเวอร์ชั่น 6.06 สวยกว่านี้อีก แต่ตอนนี้ยังเป็นเบต้าอยู่
ล่าสุด Linux TLE แห่งชาติของเราก็จะย้ายมา base on Ubuntu แล้วด้วย

ช่วยกันกระจายข่าวหน่อยครับ ของฟรีใครๆ ก็น่าจะชอบ (ไม่นับตายฟรี)
คราวนี้คงหลอกให้คนที่เข้ามาอ่านเฉยๆ ยอมเขียนอะไรกันบ้างได้แล้วนะ…