ร้านรำพึง สิงห์บุรี

ร้านดังแห่งเมืองสิงห์บุรี จากที่ปั่นจักรยานทางไกลวันแรก
คืนแรกแวะนอนสิงห์บุรีเลยได้มีโอกาสไปกิน ตามคำแนะนำของ รปภ.ประจำโรงแรมที่พัก
มารู้ทีหลังว่าเป็นร้านดังจริงๆ มีคนพูดถึง แนะนำกันเยอะ

ปั่นจักรยานไปกินกัน ทำเอาลูกค้าในร้านแตกตื่นกันเล็กน้อย เห็นชี้ชวนลูกหลานให้ดูแก๊งจักรยานกันใหญ่
ทางร้านก็ใจดี ให้เอารถเข้าไปจอดในร้านได้เลย

มาดูเมนูกันก่อน

ราคาจัดว่าอยู่ในระดับพรีเมี่ยมเล็กน้อย

ร้านนี้ดังเรื่องปลา สิงห์บุรีก็เป็นเมืองปลา ก็พยายามกินปลาหลายๆ อย่าง
เสียดายไม่ได้กินปลาม้า อย่างที่ @roofimon ทวีตแนะนำมาตอนหลัง

จานแรก เบสิคก่อนด้วยทอดมันปลากราย

อร่อยครับ เหนียวนุ่มหนึบดีมาก รสชาติกำลังดี

ต่อด้วย แกงป่าปลาเนื้ออ่อน

นี่ก็อร่อย ปลาเนื้ออ่อนรสหวานนุ่มลิ้น ก้างแกะง่าย น้ำแกงรสไม่จัดเกินไป

กุ้งแม่น้ำทอดกระเทียม ราคาตามขนาด

จานนี้กินเสร็จถึงรู้ว่า 500 บาท O_o! มีกุ้งนับจากที่กินเจอหัวกุ้งแล้ว น่าจะ 2 ตัวเท่านั้น
แต่สับมาเป็นชิ้นเล็ก กระเทียมโรยปกปิดความน้อย อร่อยสมกับเป็นกุ้ง แต่ไม่ประทับใจ (แพงด้วย)

เม็ดมะม่วงผัดปลาช่อนกรอบ

จานนี้เด็ดสุด ชอบกันมาก กินกับข้าวก็เยี่ยม กินเป็นกับแกล้มก็แจ๋ว
เนื้อปลาช่อนทอดกรอบไม่กระด้าง เม็ดมะม่วงก็ให้แบบไม่ขี้เหนียว พริกแห้ง พริกหยวก ต้นหอม ซอยผัดมาด้วยกัน
ตักเข้าปากเคี้ยวพร้อมกันแล้วมันดีมาก

จานสุดท้าย ปลาไวเซเลียนึ่งซีอิ้ว

ปลาชื่อแปลก เนื้อคล้ายปลาหิมะ แต่ไม่มันเท่า กินคำแรกอร่อยจริงๆ
แต่พอกินไปซักพักรู้สึกว่ามันจืดไปนิด เหมือนซีอิ๊วยังไม่เข้าถึงเนื้อปลา
ถามคุณลุงรำพึง เจ้าของร้าน บอกว่าปลานี้สั่งมาจากอเมริกา เพราะตอนไปสอนทำอาหารที่นั่น
หาปลาม้าไม่ได้ เลยใช้ปลาไวเซเลียแทน ชื่อปลาเข้าใจว่าตั้งเองตามชื่อเมืองที่ลุงไปสอนทำอาหารนั่นแหละ

ลุงรำพึงตัวจริงยังแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะ พูดจาฉะฉานสไตล์นักเลงโบราณมาก ลุงบอกว่าอายุ 60 แล้ว
อยู่สิงห์บุรีมา 38 ปี ตั้งแต่ปลดทหารเกณฑ์ เดิมเป็นคนแปดริ้ว จับพลัดจับผลูมาทำอาหารอร่อยเลยปักหลักอยู่ที่นี่เลย

ร้านแกก็เป็นร้านดังแบบปากต่อปาก พอยุคอินเตอร์เนทก็ยิ่งมีชื่อเสียงขจรขจาย มีคนเอาไปเขียนแนะนำเยอะ
แกเลยไม่เคยง้อพวกรายการโทรทัศน์ ที่จะมาขอถ่ายทำแล้วยังต้องจ่ายเงินให้รายการอีก
ลุงบอกว่าถ้ามาถ่ายแล้วกินฟรีก็เต็มใจเลย เลี้ยงให้โต๊ะนึงเลย แต่ถ้าจะมาถ่ายแล้วต้องจ่ายเงินให้สี่ห้าหมื่นด้วยนี่
ไม่ต้องมา ป้ายหน้าร้านแกเขียนเลยว่าเชลล์ไม่ต้องมาชิม แม่ช้อยไม่ต้องมารำ คุยกันเฮฮามาก
เลยขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซะหน่อย นานๆ จะได้คุยกับเจ้าของร้าน ทุกทีได้แต่กินๆ แล้วก็จ่ายตังค์

ต่อไปผ่านมาเมืองสิงห์ นอกจากจะนึกถึงแต่แม่ลาปลาเผา ไพบูลย์ไก่ย่างแล้วก็มีร้านรำพึงนี่แหละ ที่จะแวะกินอีก

Bangkok – Sukhothai Day 4

วันสุดท้ายของการเที่ยว วันนี้ไม่มีการปั่นทางไกลอีกแล้ว กะจะนอนตื่นสายหน่อย หาของกิน แล้วกลับกรุงเทพ
แต่ดันตื่นเช้า ยังไม่มีใครตื่น เลยล้างหน้าเอาจักรยานออกปั่นไปหากาแฟ ปาท่องโก๋กินในตลาด
แต่ผิดหวัง ไม่มีให้กินเหมือนในตัวเมือง เลยปั่นเข้าไปในเมืองเก่าที่ลานพ่อขุนรามซะหน่อย อากาศก็ดีด้วย
วันที่ 17 มกราคมเป็นวันบวงสรวงประจำปี มีกิจกรรม เมื่อวานก็เห็นเตรียมงานกันอยู่

แถมเมื่อคืนตอนนั่งสังสรรค์อยู่หน้าบ้าน ดึกแล้วยังมีรถกระจายเสียงวนอยู่ในชุมชน ชวนให้คนออกไปประท้วง!
ได้ความว่าปกติงานบวงสรวงพ่อขุนฯ จะจัดที่เมืองเก่าทุกปี แต่ปีนี้จะเป็นปีสุดท้าย
ปีต่อไปจะย้ายไปจัดในตัวจังหวัด ที่สวนหลวงเฉลิมพระเกียรติ ร.9
ดูแล้วงานนี้น่าจะเป็นการงัดข้อกันระหว่างนักการเมืองท้องถิ่นที่อยู่คนละขั้ว
ก็ไปวนๆ ดูบรรยากาศนิดหน่อย
ไม่มีอะไรมาก นักเรียนก็แต่งตัวมารำ เพลงเดิม ท่าเดิม ชุดเดิม เห็นตั้งแต่เด็ก
ชาวบ้านที่มาประท้วงก็ยืนถือป้ายผ้าอยู่บนลานอนุสาวรีย์ วนดูนิดหน่อยก็ปั่นกลับที่พัก

สายๆ เพื่อนก็ขับรถมารับเข้าเมือง ขนจักรยานขึ้นกระบะ แวะทักทายบ้านเพื่อนสนิทสองสามคน
เมื่อวานก็แวะเข้าไปดูบ้านตัวเองด้วย ให้คนเช่าอยู่ เห็นแล้วคิดถึงตอนเด็กๆ ที่โตมาแถวนั้น

พอใกล้เที่ยงก็เดินทางกลับพิษณุโลก แวะกินข้าวกลางวันที่ อ.กงไกรลาศอีกที
เป็นก๋วยเตี๋ยวดู๋ดี๋ต้มยำคล้ายกับที่เคยกินบ่อยๆ สมัยทำงาน/เรียนที่ชลบุรี
ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊ษา รู้สึกจะเป็นร้านดังของที่นี่ด้วย
ก็อร่อยใช้ได้ ใครผ่านไปแถวนั้นแนะนำให้แวะกิน ร้านติดถนนใหญ่ หาไม่ยาก

เกือบบ่ายสองก็ถึงสถานีรถไฟพิษณุโลก มีรถเที่ยวล่อง ตอนบ่ายสองครึ่ง เป็นรถไฟฟรีไปกรุงเทพ
ก็ไปรับตั๋วฟรี แล้วก็จ่ายค่าระวางจักรยาน ราคาเดิม คันละ 90 บาท

รถไฟมาสี่โมงเย็น สุดยอดรถไฟไทย แถมไปไม่ได้อีก เค้าบอกว่าตู้สัมภาระเต็ม เอาจักรยานขึ้นไม่ได้
เบิ้มชะโงกเข้าไปดูในตู้ บอกว่าพอมีที่ว่าง แต่เค้าเอากล่องวางเรียงเต็มพื้น ยังไม่ได้ซ้อนกัน
คนคุมรถไฟเลยไล่ให้ไปขบวนถัดไปด้วยหัวใจเปี่ยมการให้บริการ
โอเค ไม่ว่ากัน เค้าบอกว่าถ้าเอาจักรยานขึ้นจะเกะกะการขนของขึ้นลงของเค้า

ซื้อตั๋วใหม่ เที่ยวนี้ไม่ฟรีด้วย ชั้นสาม คนละ 177 บาท ขบวนนี้ไม่มีล่าช้า 19:20 น.แน่นอน
เพราะเป็นต้นทางพิษณุโลก ไม่เหมือนขบวนเมื่อตอนบ่ายที่รถวิ่งมาจากเชียงใหม่
ก็นั่งๆ นอนๆ รอกันอยู่แถวนั้น
พอเย็นก็เลยซื้อของกินแถวตลาดหน้าสถานีรถไฟมานั่งกินฆ่าเวลา
เจอปาท่องโก๋ขายด้วย เลยซื้อมากินให้หายเก็บกดซะ 10 ตัว

มีลุงคนนึงเห็นเราเอาจักรยานมาจอดเรียงรายอยู่ ก็เดินมาคุยด้วย
ใส่เสื้อบอกยี่ห้อว่าเป็นนักปั่นเหมือนกัน เสื้อจักรยานแบบรัดรูปมียี่ห้อรถจักรยานติดเต็มไปหมดนั่นแหละ
ลุงอายุ 67 แล้วบอกว่าปั่นมา 7 ปีตั้งแต่หลังเกษียณราชการ
ไปมาทั่ว ปั่นคนเดียวด้วย แข็งแรงมาก แต่ลุงบอกว่าอยากสนุกให้ปั่นคนเดียวไปหาเพื่อนเอาข้างหน้า
ปั่นเป็นกลุ่มแบบพวกเรามันอุ่นใจสบายใจเกินไป แถมบอกว่าขึ้นรถไฟกลับทำไม ให้ปั่นกลับสิ
เราก็นึกในใจว่าลุงเกษียณแล้วนี่ จะปั่นกี่วันกี่เดือนก็ได้ (ฮา)

รถไฟออกตรงเวลาจริงด้วย ขนจักรยานขึ้นแล้วก็ไปนั่งหลับๆ ตื่นๆ กัน
ถึงกรุงเทพตอนตีสามกว่าๆ ลงที่สถานีบางเขน
น่ากลัวมาก ไม่มีใครลงเลย มีแต่เรา 4 คน กับกล่องสัมภาระบางส่วนที่ลงปลายทางที่นี่
ก็จะมีพนักงานรถไฟเข็นรถเข็นมาขนกล่องพวกนั้นไปเก็บที่สถานี

เราก็ปั่นกลับบ้านกันต่อ ปวดขา ปวดก้นมาก

ได้นอนกันราวๆ เช้ามืด สลบกันไปทั้งวัน

ทริปนี้ทำให้เรารู้ว่า
* ถุงน้ำมีประโยชน์ไม่ใช่แค่เฉพาะในป่า ทางถนนราดยางไกลๆ ก็ควรมีติดไว้
* รถฟรีไรด์แบบเราก็ไปไหนไกลๆ ได้ แต่มันเหนื่อยกว่าชาวบ้านมาก
* อย่าคาดหวังอะไรมากกับรถไฟ ระหว่างทางผมเห็นป้ายประท้วงแปะตามสถานีว่า คนรถไฟจะไม่ยอมให้รัฐอนุญาตให้เอกชนเอารถมาวิ่งด้วย เพราะจะขูดรีดประชาชน อืม…

Bangkok – Sukhothai Day 3

วันนี้ออกสายเกือบเก้าโมง เบิ้มบอกว่านอนไม่ค่อยหลับ ห้องเก่าๆ ของโรงแรมมันหลอน
ส่วนผมหลับไม่รู้เรื่อง ออกปั่นพ้นเมืองพิษณุโลกมาได้สามสี่กิโล ก็แวะกินข้าวเช้า
ที่ร้านข้าวมันไก่ ต้มเลือดหมู

รสชาติธรรมดาแบบร้านข้างทางทั่วไป

ช่วงเช้าตั้งใจจะปั่นไปพักที่ อ.กงไกรลาสก่อน อีก 40 กม. ก็ลุยเลย
วันนี้ก้นชาแล้ว เบิ้มบอกว่าชาจนตอนแวะฉี่ข้างทางแล้วพบว่าไม่มีความรู้สึก น่ากลัวมาก
จบทริปนี้จะเป็นหมันกันรึเปล่าฟระ

ไม่นานก็เข้าเขต จ.สุโขทัยตอนเกือบๆ 11 โมง

@ipats ดูดน้ำจากเบิ้ม โรแมนติกมาก

แวะอีกทีที่ตัวอำเภอกงไกรลาส เติมพลังด้วยเป๊บซี่ใส่เกลือกับ M-150
โทรบอกเพื่อนว่าอีกไม่เกิน 2 ชม.จะถึงบ้านมัน แล้วก็ปั่นไป บ่ายโมงกว่าๆ ก็รอดชีวิต
เพื่อนกำลังแพ็คขนมอยู่ ก็ไปนั่งพัก กินน้ำ เก็บจักรยาน
แล้วให้มันขับพาไปกินข้าวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย เจ๊แฮ ร้านรับแขกบ้านแขกเมืองของที่นี่
พาใครไปเที่ยวทีไรก็ต้องพาไปกิน



ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยแท้ ต้องเป็นหมูสดต้ม ผักเป็นถัวฝักยาวหั่นแฉลบ ก๋วยเตี๋ยวแห้งใส่น้ำตาลปี๊บ
โรยกากหมูทอด อร่อยน้ำตาไหล มีผัดไทยกุ้งสดกับหมูสะเต๊ะกินเล่น
ล้างปากด้วยของหวาน ขนมเทียนสะบัดงากับไอติมกะทิ

แล้วไปหาที่พักแถวย่านเมืองเก่า ใช้ความเป็นคนพื้นที่เจรจาขอเช่าบ้านจากหลังละ 600/คืน
เป็น 2 หลัง 700 บาท ^_^

ได้บ้านพักแล้วก็กลับเข้าเมือง ไปเอาจักรยานปั่นจักรยานออกมาอีก 12 กม.
แวะเข้าไปเที่ยวในเมืองเก่าก่อน

ถ่ายกับป้ายหน้าเมืองเก่าแล้วก็เข้าไปปั่นวนๆ ด้านใน ให้คนไม่เคยมาได้ตื่นตาตื่นใจเล่น

พอฟ้ามืดก็กลับเข้าบ้านพัก อาบน้ำแต่งตัว ออกหาของกิน
แวะที่ร้าน Coffee Cup อารมณ์ประมาณถนนข้าวสารในกรุงเทพ เมืองท่องเที่ยวที่ไหนก็คงอย่างนี้

อาหารก็มีตามมาตรฐานร้านขายฝรั่ง ข้าวผัด สปาเก็ตตี้ ราดหน้า ยำผักบุ้งกรอบ ฯลฯ
สั่งของกินกันพอเป็นพิธี ต่อรองเจ้าของร้านบอกว่าขอราคาคนไทย โดนไปพันสอง 


ร้านปิดแค่ 4 ทุ่ม!! ยังดีที่เมืองเก่าเจริญพอที่จะมี 7-11 แล้ว เลยซื้อของกินเดินกลับเข้าไปกินในบ้านพัก
แล้วก็สลบไปหลังเที่ยงคืนนิดหน่อย สรุปวันนี้ปั่นกันประมาณ 70 กม.นิดๆ

Bangkok – Sukhothai Day 2

ตื่น 7 โมงมากินข้าวเช้าในโรงแรม เป็นบุฟเฟต์อาหารไทย แพนงไก่อร่อยมาก
แปดโมงก็ออกปั่นต่อ ข้ามสะพานกลับถนนสายเอเชียที่แยกสิงห์บุรีเหนือ
แวะปรับระนาบเบาะนั่งให้ราบกับหลักอานให้สูงขึ้นมาหน่อย จะได้ปั่นทางไกลเหยียดขาได้สบายๆ

เป็นครั้งแรกที่ปรับหลักอานขึ้นจนสูงสุดขนาดนี้ ปกติปั่นในเมืองจะนั่งกันต่ำๆ สไตล์รถโดด

วันนี้ก็ปั่นทางยาวกันอย่างเดียว แวะพัก 20 กม.แรกที่อินทร์บุรีแป๊บนึง
สายๆ หน่อยก็เข้าเขต จ.ชัยนาท

แล้วก็ปั่นต่อไปเรื่อย เริ่มล้า ปวดเมื่อยได้ที่
ระหว่างปั่นพบว่าคนขับรถบรรทุกสิบล้อจะน่ารัก ไม่เคยเบียดแฉลบเข้ามาในไหล่ทาง
ไม่เหมือนรถบัส แถมเวลารถใหญ่ๆ แซงผ่านไปจะมีลมช่วยหนุน หรือไม่ก็ช่วยตัดลมด้านหน้า
ทำให้ปั่นฉิวได้นิดนึง

จังหวะนี้ก็เริ่มแผ่วลง ปั่นชมนกชมไม้ ทุ่งนาข้างทางรั้งท้ายไปเรื่อย
ภาคกลางนี่มีนกให้ดูเยอะมาก จำพวกนกน้ำ นกทุ่งทั้งหลาย
ฝูงนกยาง นกปากห่าง นี่มีอยู่เต็มทุ่งนาเลย นกแซงแซวก็เยอะ ได้เห็นนกกระเต็นด้วย

พอเที่ยงก็เฉี่ยวผ่านเขต จ.อุทัยธานี ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปเข้า จ.นครสวรรค์
@ipats ฟิตมาก ปั่นฉิวล้ำหน้าไปตลอด ส่วนผมก็รั้งท้ายอย่างเดียว หมดแรงจริงๆ
พอเข้าเขตนครสวรรค์ เริ่มเจอเนินเขา ชีวิตเริ่มนรก
ช่วง อ.พยุหะคีรี มีเนินลาดเตี้ยๆ แต่ยาว สลับไปเป็นระยะ กินแรงมาก
พอจังหวะลงเนินอยากจะปล่อยไหลพักขา แต่มองเห็นเนินอยู่ข้างหน้ารออยู่อีก
ก็ต้องปั่นอัดส่งแรงให้รถพุ่งเร็วๆ จะได้ขึ้นเนินสบายๆ
เป็นอย่างนี้อยู่ 2-3 ชม. แทบตาย

ส่วน @ipats ยังฟิตไม่เลิก ขนาดโบกให้แวะปั๊มข้างทางยังไม่ยอมจอด นึกว่าบอกให้ปั่นต่อไป – -”
เกือบๆ บ่ายสามก็ถึงตัวเมืองนครสวรรค์ เจอนนรกด่านสุดท้ายในขณะที่ขาและก้นระบมสุดๆ
ต้องปั่นข้ามสะพานเดชาติวงศ์ โคตรชันเลยครับ พอพ้นมาได้ก็หาร้านกินข้าวทันที

@tpagon แนะนำร้านลูกชิ้นปลาโกเนี้ยว ดีเหมือนกัน เพิ่งกินเมื่อปลายปีก่อน อร่อยดี

สั่งกินกันพอท้วมๆ คนละสองสามอย่าง อาหารเค้ามีหลากหลาย ไม่ได้มีแต่ลูกชิ้น ^_^

@ipats เริ่มมีอาการ บอกว่าครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้แดด แต่ดูแล้วก็ไม่เป็นอะไรมาก
ฟิตซะขนาดนั้น

มาดูเส้นทางกันต่อ เมืองต่อไปคือพิจิตร อีกประมาณ 80-90 กม. วันนี้ปั่นมาได้ 100 กม.แล้ว
อีก 2-3 ชม.ก็ฟ้ามืดแน่ กลัวว่าจะไปนอนกลางนา ทางที่จะปั่นไปก็ไม่แน่ว่าจะมีตัวเมืองให้ผ่านรึเปล่า
เพราะคงไม่แวะเข้าไปในตัว จ.พิจิตรแน่ เพราะแยกเข้าไปลึก แถมดูกันแล้วก็ไม่น่าจะปั่นต่อกันไหวด้วย

เลยปรึกษากันว่าจุดประสงค์คือไปเที่ยวสุโขทัย ถ้าคืนนี้นอนนครสวรรค์ พรุ่งนี้ปั่นต่อถึงพิษณุโลก
ได้ถึงสุโขทัยบ่ายวันอาทิตย์ แล้วต้องกลับเลย ผิดจุดประสงค์แน่นอน
เลยตัดสินใจ ปั่นย้อนกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีนครสวรรค์ อีกประมาณ 5 กม.
แถมต้องปั่นขึ้นสะพานเดชาฯ กลับอีก T_T

ถึงสถานีรถไฟ มีรถขาขึ้นไปพิษณุโลกตอน 18:30 น.
@ipats จับจองที่พักผ่อนรอทันที
ถึงเวลา รถไฟก็มาตอน 19:30 น. เยี่ยม -*-
ขนจักรยานไปไว้ในตู้สัมภาระ แล้วก็นั่งเฝ้ากันข้างรถเลย ที่นั่งมันเต็ม เพราะเป็นรถไฟฟรี
ค่าระวางจักรยานถ้ายกขึ้นลงเองคันละ 90 บาท ถ้าให้เจ้าหน้าที่ขนขึ้นลงให้ คันละ 120 บาท
เราก็ยกเองสิ เสียค่าเชือกมัดอีก 20 บาท
เกือบ 4 ทุ่มก็ถึงพิษณุโลก วนหาโรงแรมพัก เจอใกล้ๆ สถานีรถไฟ ชื่อโรงแรมสมัยนิยม
คงจะเป็นโรงแรมตามสมัยนิยมจริงๆ เมื่อสัก 30 ปีที่แล้ว บรรยากาศวังเวงมาก แต่ค่าห้องถูก
เตียงคู่ห้องละ 350 บาท เอารถเข้าไปเก็บใต้ล็อบบี้ได้ ก็เลยโอเค

อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วก็ออกมาเดินหาข้าวกินในตลาดไนท์บาซาร์ ปรากฏว่ามันปิดหมดแล้วเกือบทุกร้าน -*-
โทรถามเอก เพื่อนสมาชิกเมเจอร์ไบค์ที่เป็นคนพิษณุโลก ได้คำแนะนำเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อแสนอร่อยมา
ก็เดินไปกัน ไม่ไกลมาก ร้านธง ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อวัว กับหมูสะเต๊ะ ขายคู่กัน
เลยสั่งมาทั้งสองอย่าง


อร่อยสมคำแนะนำจริงๆ เนื้อนุ่ม ลูกชิ้นเด้ง น้ำซุปอร่อย
หมูสะเต๊ะก็หอมเครื่องเทศ ปิ้งมาร้อนๆ เคี้ยวนุ่มฟันมาก ^_^

เดินกลับโรงแรม แล้วก็กะย่องกะแย่งขึ้นบันได
ได้ครีมเคาน์เตอร์เพนช่วยชีวิตก่อนนอนอีกตามเคย (นายแบบโดย @hypermale)

Bangkok – Sukhothai Day 1

ชวนหนุ่มๆ ที่บ้าน @hypermale กับ @ipats ไปเที่ยวบ้านเกิดผม ที่ จ.สุโขทัย
ไปโพสบอกพี่ๆ น้องๆ ใน Majorbike ด้วย เลยได้ เบิ้ม มาร่วมปั่นด้วยอีกคน
เบิ้มฟิตมาก ตัดสติ๊กเกอร์ทำเสื้อยืดอวดทันที แถมตัดมาเผื่อด้วย 3 ชุด เลยซื้อเสื้อยืดขาว FBT จากโลตัส
มาคนละตัว แล้วก็พ่นสีสเปรย์ ทำคืนก่อนออกปั่น แป๊บเดียวก็เสร็จ

เช้า 6 โมง ก็ตื่นอาบน้ำเก็บของใส่เป้ เลือกแต่ของจำเป็น ให้กระเป๋าเบาที่สุด
ออกจากบ้าน 7 โมงครึ่ง

เป็นครั้งแรกที่จะออกปั่นกันไกลๆ ขนาดนี้ แถมใช้รถไม่ถูกประเภทด้วย
ปกติการปั่นทางไกลจะมีจักรยานที่เรียกว่าทัวริ่ง รถเบาๆ มีตะแกรงติดข้างล้อหน้าหลังใส่กระเป๋าสัมภาระ
ล้อเล็กๆ หน่อย เรามีแต่รถฟรีไรด์กึ่งดาวน์ฮิลที่เอาไว้ใช้ลงเขา โช้คยุบนุ่มนิ่มยวบยาบ กินแรงปั่นตอนทางเรียบน่าดู
แต่ก็น่าสนุกดี

ที่จริงเสื้อทำสกรีน(แบบพ่นสเปรย์)ด้านหลัง แต่นึกขึ้นได้ว่าตอนใส่แล้วสะพายเป้มันจะไม่เห็น
เลยกลับด้านมาใส่ด้านหน้าแทน ใส่ทับเสื้อแขนยาวกันแดดอีกที

ปั่นออกจากรัชวิภา ไปตามเส้นวิภาวดีรังสิต ชั่วโมงต่อมาก็ถึงแยกฟิวเจอร์พาร์ค

เริ่มหิวข้าว ตอนแรกจะกินในตลาดรังสิต แต่แข็งใจออกไปต่ออีกหน่อย
ผ่าน ม.กรุงเทพ ทัศนียภาพโดดเด่นมาก อยากนั่งกินข้าวแถวนี้นานๆ แต่ไม่รู้จะกินอะไร
เลยตัดใจปั่นต่อ กะว่าไปกินแถวธรรมศาสตร์รังสิต วิวคงดีไม่แพ้กัน แต่คิดผิดครับ
เลยได้ไปกินอาหารอิสลามที่เลยไปอีกหน่อยแทน

อัดโปรตีนด้วยข้าวหมกไก่/เนื้อ และซุปเนื้อรสแซ่บ และน้ำฝรั่งเพิ่มวิตามินซี
ถึงตอนนี้ก็ออกจากกรุงเทพได้ประมาณ 37 กม. แล้ว

ช่วง 50 กม.แรก ถนนยังมีรถแน่น พอสายๆ หน่อย เริ่มออกนอกเมืองก็เริ่มโล่ง
แต่จะมีรถบรรทุกสิบล้อ รถบัสเยอะหน่อย แดดเริ่มร้อน
พอเจอศาลาพักข้างทาง ทุกคนต้องรีบพุ่งไปหาเบิ้ม เพราะเป็นคนเดียวแบกถุงน้ำใส่เป้มาด้วย

ต้องขอบใจเบิ้มมาก ที่เสียสละแบกมา ความจริงเป้ deuter ที่ใช้กัน มันก็มีช่องใส่ถุงน้ำทุกใบ
แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องแบกมาให้หนัก น้ำ 3 ลิตรก็หนักตั้ง 3 กก. ปวดหลังแย่
เอาไว้ใช้ตอนไปลงแทร็คในป่าในเขาที่ไม่มีน้ำให้กินก็พอ ปั่นบนถนนหลวงแบบนี้หาซื้อน้ำตามปั๊มไม่ยากหรอก
คิดผิดจริงๆ

ช่วงบ่าย พ้นปทุมธานีแล้วก็เข้าอ่างทอง

แดดร้อนแรงสะใจมาก แต่ยังสบายๆ กันอยู่

ก้มหน้าก้มตาปั่นกันไป

ไชโย!

บ่ายสองก็แวะกินข้าวในปั๊ม ปตท.ที่ อ.ไชโย จ.อ่างทอง

บ่ายแก่แล้วแดดยิ่งแรง เริ่มเมื่อยก้น แต่ไม่หนักเท่าปวดขา
ปั่นไปเรื่อยๆ บ่ายสามครึ่งก็เข้าเขต จ.สิงห์บุรี

แวะพักศาลาข้างทางประมาณ ทุก 20-30 กม.
ต่ายกับเบิ้มลองสลับรถกันปั่น พอออกจากศาลาพบว่ายางรั่ว!
แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เรามีอุปกรณ์พร้อม

แก้ไขแป๊บเดียวก็ปั่นได้ต่อ

ห้าโมงเย็นปั่นผ่านแยกสิงห์บุรีใต้ มาถึงโลตัส สิงห์บุรี คะเนกันแล้วยังมีแรงปั่นต่อได้
อีก 20 กม.ก็เข้าตัว อ.อินทร์บุรี แต่เช็คดูใน GPS พบว่าอาจไม่มีโรงแรมให้พักที่อินทร์บุรี
เลยปั่นต่อไปเลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมืองสิงห์บุรีที่แยกสิงห์บุรีเหนือ เข้าไปอีก 3 กม.ก็ถึงตัวจังหวัด
ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปวนในตัวเมือง มองหาโรงแรมที่น่าจะเอาจักรยานเข้าไปเก็บได้ปลอดภัย

เจอโรงแรมที่น่าจะหรูสุดในเมืองสิงห์บุรีแล้วมั้ง ไชยแสงพาเลซ (สิงห์บุรีพาเลซเดิม)
เพราะมองไปทางไหน ห้างร้านใหญ่ๆ มีชื่อ ไชยแสง หมดเลย คงเป็นตระกูลเศรษฐีใหญ่
เดี๋ยวต้องถาม @kengggg เพราะจำได้ว่าเป็นคนเมืองสิงห์

โรงแรมห้องเตียงคู่คืนละ 600 บาท ใต้โรงแรมมีห้องเก็บของที่เอาจักรยานไปเก็บได้ ล็อคแน่นหนาปลอดภัย
บริการดี ห้องก็ดี วิวริมน้ำก็สวยใช้ได้ ถ้าใครมาสิงห์บุรีจะแนะนำให้พักที่นี่เลย
ตอนค่ำก็ปั่นออกไปกินข้าวในตลาด ได้คำแนะนำว่าต้องไปกินปลาที่ร้านรำพึง
อร่อยดีเหมือนกันครับ โดยเฉพาะปลาช่อนกรอบผัดเม็ดมะม่วง แต่ราคาก็สูงนิดนึง
เสียดายไม่ทันได้สั่งเมนูปลาม้าที่ @roofimon แนะนำ
เดี๋ยวจะบล็อกเรื่องร้านอาหารแต่ละจังหวัดแยกไว้ต่างหากอีกที รูปเยอะแล้ว

วันแรกผ่านไปด้วยดี ออกจากกรุงเทพมาได้ 140 กม. ยังไม่เจ็บก้นมาก แต่ปวดขาหนักหน่อย
ต้องหาซื้อเคาน์เตอร์เพนมาถูนวดก่อนนอน ^_^v