ในที่สุดก็ตกลงปลงใจร่วมเดินทางไปกับเค้า หลังจากที่ยังไม่รับปากน้าเด๋อตอน Car Free Day
แต่คิดว่าไม่ไปก็คงจะน่าเสียดาย ถือว่าไปเก็บประสบการณ์ที่เจ็ดคตด้วย ยังไม่เคยไป
วันเสาร์วินกับโบ้ตก็มารับที่บ้านตอนเก้าโมง เก็บกระเป๋ารอไว้แล้ว
มาถึงก็แพ็ครถขึ้นหลังคา ไปสมทบกันที่บ้านพี่อู๊ดที่ลาดพร้าว 62
ออกจากบ้านพี่อู๊ดสิบโมง ไปแวะเอารถจักรยานอีกคันของโบ้ตที่ร้านเวิร์ลไบค์ รามอินทรา กม.8
อารมณ์เหมือนไปรับรถที่ศูนย์ เพราะโบ้ตเอาไปทิ้งไว้ให้ร้านเซอร์วิสนิดหน่อย ก่อนเอาไปลุยหนัก
ก็ขับรถไปถึงสระบุรี เลี้ยวขวาไปทางโคราช กลับรถเข้าไปที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า
อยู่ลึกเข้าไปจากถนนมิตรภาพอีกประมาณสิบกว่ากิโล
เป็นที่ที่เราจะไปกางเต๊นท์และปั่นลงเขากัน ในรูปข้างล่างนี่
(ขอบคุณภาพแผนที่โดยคุณ HYM แห่ง Maxrider.com)
เส้นขาวๆ ก็คือถนนราดยางครับ เราขับรถเข้ามาจากทางด้านซ้ายของแผนที่
ด้านล่างขวาคืออ่างเก็บน้ำ ก็กางเต๊นท์กันตรงตำแหน่ง 7 นาฬิกาของอ่างเก็บน้ำข้างล่าง
สี่โมงเย็น ได้เวลา แต่งองค์ทรงเครื่องกันเรียบร้อย ผมกับพี่อู๊ดไม่มีชุดเกราะครับ มีแค่เสื้อยืด
หมวกกันน็อค แว่นก๊อกเกิลส์ ถุงมือ สนับเข่า/แข้ง ส่วนวินกับโบ้ตพร้อมรบอย่างน่าอิจฉา
แล้วก็เอาจักรยานใส่รถกระบะไปตามทางราดยางขึ้นไปที่จุดชมวิวบนยอดเขา
แล้วก็ปั่น ดิ่ง ไหล รูดลงมาตามเส้นทางสีแดงกับน้ำเงิน (แล้วแต่จะเลือก)
เวลาขนจักรยานขึ้นไปก็จะอารมณ์ประมาณนี้
วันแรกที่ขึ้นไปซ้อมเส้นทาง เป็นวันเสาร์ ยังไม่มีแข่งจริงนะครับ
เหมือนไปลองเล่นกันเอง แต่ผมขอเอารูปวันแข่งให้ดูประกอบเส้นทางก็แล้วกัน
สนามนี้ขึ้นชื่อเรื่องความสนุกครับ ใครๆ ก็บอกตรงกันว่า
“สนามดาวน์ฮิลล์ที่เจ็ดคนเนี่ยปั่นสนุก ทางสั้นๆ ไม่ชันมาก ไม่อันตราย รับรองมันส์”
ผมก็เบาใจ ขนาดเขาอีโต้ยังผ่านมาได้เลย ทางยาวตั้งแปดเก้าโล แถมชันด้วย แบบนี้เจ็ดคตก็ขนม
ขึ้นไปที่จุดปล่อยตัวเลย เส้นทางคราวนี้จะไม่เหมือนปกติ คือการแข่งดาวน์ฮิลทั่วไป
ก็จะเป็นทางลงเส้นเดียว ปล่อยทีละคน จับเวลา ใครลงถึงเส้นชัยข้างล่างเร็วสุดก็ชนะไป
แต่คราวนี้น้าเด๋อ คนจัดงานไอเดียบรรเจิด ทำเป็น dual downhill ครั้งแรก
เป็นแทร็คคู่กัน เอาเทปกั้นกลาง ลงพร้อมกัน แข่งกัน 2 ใน 3 คือผลัดกันลงคนละทาง
ถ้าเสมอกันก็จับสลากตัดสินรอบสาม เส้นทางจะเป็นแบบนี้ครับ
ทางร่วมก็คือทางที่มาแตะกัน ไม่ถึงกับมาวิ่งในช่องเดียวกันนะครับ
แต่ทางตัดคือมันจะไขว้กัน ก็ต้องระวังนิดนึง ถ้ามาเร็วทั้งคู่ ก็คงต้องหลบๆ กันหน่อย
แต่ตลอดการแข่งก็ไม่เห็นมีใครประสานงากันเลย
เนื่องจากเราแค่มาซ้อมกันเอง 4 คน คือมีคนอื่นๆ เค้าก็มาซ้อมเหมือนกัน แต่เราให้เค้าไปก่อน
ลงกันชุดสุดท้าย จะได้ไม่ไปขวางทางคนที่เร็วกว่า ก็เลือกลงทางเดียวกัน เรียงกันไปดีกว่า
ยังไงก็ไล่กันไม่ทันอยู่แล้ว ผมลงหลังสุด เลือกทาง B ก่อนครับ เดี๋ยวค่อยมาลองทาง A อีกรอบ
น้องๆ ที่ทำสนามบอกว่าทาง B ไม่ยาก อัดสปีดได้เต็มที่ แต่คุณพระช่วย!
จุดสตาร์ทมันเป็นแผ่นไม้ยื่นออกไปให้ดร็อปลง สูงประมาณเมตรเศษๆ แถมติดกันสองอัน
อันนึงอยู่ที่ป้ายจุดสตาร์ทเลย อีกอันคือที่กำลังโดดอยู่ในรูปนี้
สามคนแรกก็นำไปก่อน โดดกันไป ตุ้บ…ตุ้บ…เข้าโค้ง หายลับเข้าป่าไป
ผมก็ลงตามไปทันที
ปั่นๆๆ…ฮึบ…ตุ้บ!…ฮึบ…ตุ้บ!…ครืด…โครม!!!
รถลงไปกอง คอรถหมุนพับไปข้างนึง โลกมืดสนิท
ผมได้ยินเสียงดัง
พล้อก! ปื้ดดดด…
ภาษานักดิ่งเรียกว่า “เอาหมวกไปสแกนพื้น”
(กลับบ้านโน่ทักแบบนี้เลย “เอาหมวกไปสแกนพื้นมาแล้วสิเนี่ย” หมวกมีรอยถลอกกว้างยาวประมาณนิ้วนึง)
รู้สึกจุกนิดหน่อย กับเจ็บๆ ตรงเอวด้านขวา ได้หมูแดงหนึ่งแผ่นที่ใต้ศอกขวาด้วย
(หมูแดงคือตรงรอยถลอกขาวเป็นแผ่น ขอบแผลสีแดง เลือดซิบๆ) (-_-“)
ก็ลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว คิดว่าเร็วนะ เพราะจับรถคร่อมปั่นต่อรู้สึกภาพมันเบลอๆ
ก็เข้าใจว่าแว่นมันไม่เข้าที่ พยายามขยับแว่น แต่แว่นมันก็ตรึงสนิทแน่นอยู่ในช่องหน้ากากหมวกกันน็อค
เลยรู้ตัวว่า “นี่กูกำลังมึน”
เลยเอื่อยๆ ไป ถึงเนินไม้ที่หลักกิโลถัดมา
ปั่นมาอย่างเร็ว อัดขึ้นเนิน ลอยละลิ่ว ตกลงมาอย่างสวยงาม…
ไม่ใช่ละ…ถ้าทำแบบนั้น ผมลอยสวยงาม แต่ตกลงมาศพไม่สวยแน่
ด้วยประสบการณ์แก่กล้า เลยเบี่ยงออกขวา หลบเนินไม้ไปได้อย่างปลอดภัย…อืม…
แต่ถ้าดูภาพจะเห็นว่าอีกเส้นนึงมันจะไม่มีทางให้เบี่ยง ต้องขึ้นเนินสถานเดียว
โอ้ว รอดแล้ว ที่เหลือก็เข้าป่า มุดดงไม้ ดงหิน ไปเรื่อยเปื่อย ชาร์จเบรคเป็นระยะๆ สับซ้ายสับขวา
มันมาก ในป่ามีหินขวางทางแต่ผู้จัดเอาสีแดงไปทาไว้ให้เห็นชัดแต่ไกล ก็เลือกไลน์ซ้ายขวาหลบเอาเอง
เข้าด้านไหนก็อย่าลืมหมุนขาให้บันไดข้างนั้นมันสูงพ้นหินก็แล้วกัน
ช่วงท้ายๆ ทางค่อนข้างชัน ก็ไหลไปเรื่อยๆ ไม่เกินสิบนาที ก็โผล่เส้นชัยครับ
เค้าทำเป็นเนินเล็กๆ ไว้ ถ้ามาเร็วก็อัดขึ้นเนินลอยข้ามไปเลย ผมไหลมาเบาๆ ก็รูดไปสบายๆ
จบ…รอบแรก!!
ลงจากรถ เหนื่อยโคตรๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่การปล่อยไหลมันจะใช้พลังกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมรถเยอะแบบนี้
วินเห็นแขนถลอก เลยเอาสนับศอกมาให้ใส่ เพราะชุดเกราะเค้ามันยาวคลุมศอกอยู่แล้ว
คนขับรถกระบะ ลงมารอแล้ว ก็ขนขึ้นอีกรอบ สนามที่นี่ดีอีกอย่างก็ตรงนี้ครับ
ทางไม่ยาวเกินไป ทางราดยางขึ้นเขาก็สั้นแค่กิโลครึ่ง คนขับรถรับส่งจักรยานไม่ลำบากเหมือนเขาอีโต้
อันนั้นทางขึ้นไกลตั้ง 7-8 กิโล ขับไปส่ง ปล่อยจักรยานดิ่งลงมาถึงข้างล่างแล้ว รถยนต์ยังย้อนมาไม่ถึงเลย
รอบสองก็เอาใหม่ครับ คราวนี้เปลี่ยนมาลงทาง A บ้าง…
อันนี้ง่ายกว่า ไม่มีดร๊อป ลงจากหินก้อนใหญ่แบบหย่อนไหลลงมาได้ ไม่จำเป็นต้องโดด (แต่มันก็มีคนโดดนะ รีบกันจริง)
ช่วงนี้ลองพยายามปั่นดูบ้าง ปกติแค่ปล่อยไหลอย่างเดียวก็จะแย่แล้ว แต่อยากลอง
เวลาดูแข่ง เห็นบางคนเค้าปั่นสับขากันยิก แค่ไหลไปตามแรงโน้มถ่วงมันไม่พอใจใช่มั้ย
การยืนตลอดมันเมื่อยมากครับ เพราะเวลาดาวน์ฮิลมันไม่ค่อยจะมีโอกาสได้นั่งปั่นเลย
บางช่วงนี่ผมขาสั่นเลย มันเกร็งไปหมด พอไปถึงกลางป่าก็พบว่าทาง A มีทางลงชันหลายจุดมาก
ทางที่ชันที่สุดน่าจะเกิน 30 องศาได้ ลงมาเร็วๆ ผมก็พยายามเบรคเป็นช่วงๆ
ดาวน์ฮิลคือศิลปะในการใช้เบรคครับ แต่พอมันเอาไม่อยู่ หน้ารถก็สะบัด
รถก็ลงไปพับ ตัวก็ลอยออกไป
“โว้ว….” กลุกๆๆๆๆ…
กลิ้งครับ กลางทางชันเลย โชคดีที่รถไม่ลอยตามมาฟาดหลัง
ระหว่างกลิ้งตัวลอยอยู่บนผิวดิน รู้สึกว่าหมุนอยู่หลายรอบ แต่ร่างกายสัมผัสพื้นอย่างแผ่วเบา…(จริงเหรอวะ)
สนับศอกได้ผล ลุกขึ้น สำรวจตัวเอง คิดว่าไม่มีอะไรบุบสลาย แค่ผิวหนังไม่กี่มิลลิเมตร
ได้ยินเสียงตะโกนจากข้างบนว่า “เป็นไรมั้ยคร๊าบบ…” เฮ้ย..มีคนได้ยินเสียงเรากลิ้งด้วยเหรอเนี่ย
ก็ทำเท่ ตะโกนไปว่า “ไม่เป็นไรคร๊าบ” แล้วก็มาจับรถยก เตรียมลุยต่อ
หมุนคอรถไปมา ผิดๆ ถูกๆ (-_-“) โอเค ไม่เป็นไรจริงๆ ไปต่อได้
ก็ลงมาเรื่อยๆ คราวนี้ไม่มีอะไรหยุดได้อีกแล้ว เพราะจุดที่ยากที่สุดผ่านมาหมด
สรุป ลงสองรอบ รอบแรกคว่ำ รอบสองกลิ้ง สะบักสะบอมพอสมควร
ไหนบอกว่าทางง่ายๆ ไม่มีอันตรายไงฟระ ผมเห็นลง 10 คน กลิ้งกันซะ 9 คน
ได้แผลสด แผลช้ำกันถ้วนหน้า (ไม่อันตรายคงหมายถึง ไม่อันตราย “มาก”)
พรรคพวกจะต่อรอบสามกัน ผมไม่ไหวแล้ว รู้สึกระบมๆ เลยนั่งรถขึ้นไปเป็นเพื่อนคนขับ
แล้วก็นั่งลงมารับ เริ่มรู้ตัวว่าเจ็บ จะลุกนั่งก็ร้าวเป็นวงกว้างตั้งแต่เอวจนถึงต้นขา
ไหล่ ศอกก็ฟกช้ำแต่เล็กน้อย รู้สึกว่าเป็นธรรมดา แต่ช่วงเอวนี่หนักหน่อย
คืนนั้นนอนระบม จะพลิกตัวลุกนั่งนี่สาหัสเลย เป็นอันว่านอนตะแคงขวาไม่ได้
แถมฝนตกอากาศเย็นอีก ใจก็คิดว่า เวรละ…ฝนตกหนักแบบนี้ ทางเละแน่ๆ
แต่ผิดคาด เช้ามา ทางเปียกแฉะเล็กน้อย ไม่ถึงกับเป็นโคลนเลน แข่งกันได้สบาย
แต่ผมขอผ่านครับ ประหยัดค่าลงทะเบียนแข่งไปได้ 100 บาท ฮ่าๆๆ
แค่ปั่นเฉยๆ ก็พอกัดฟันไหวครับ ปั่นมาจุดอำนวยการ ขึ้นเนินนิดหน่อย
แต่ถ้าให้ลงแข่งด้วย ตายดีกว่า เลยได้แต่เป็นช่างภาพไป
สรุปเจ็บตัวกลับมานิดหน่อย ฟกช้ำพอเป็นพิธี เดินกะเผลกสองวันก็น่าจะหาย
รอยเขียวช้ำที่เอวเข้มขึ้น แต่ลุกนั่งได้ไม่เจ็บปวดมากแล้ว
ยังดีกว่าตอนไปเล่นเคเบิ้ลสกีที่บึงตะโก้ อันนั้นปวดแบบรวดร้าวนานหลายวัน จะถอดเสื้อใส่เสื้อทีต้องร้องโอดโอย
ประสบการณ์นี้สอนให้รู้ว่า ผมต้องมีเสื้อเกราะ ฮ่าๆๆ…อนุมัติด้วย! 😛
เสียดายอีกอย่างที่ไม่ได้เข้าไปในน้ำตกเจ็ดคต ซึ่งจะเข้าไปลึกกว่าตรงที่ผมกางเต๊นท์พักอีกหน่อย
ไม่รู้ว่าสวยแค่ไหน แต่ตรงที่พักกางเต๊นท์ริมอ่างเก็บน้ำ สวย อากาศดี คนไม่เยอะ
ห้องน้ำสะอาด มีบ้านพักให้เช่าราคาไม่แพง มีกิจกรรมเดินป่า กับปั่นจักรยานชมธรรมชาติรอบอ่างเก็บน้ำ
และมีสัญญาณโทรศัพท์ AIS เฉพาะจุดศูนย์อำนวยการเท่านั้น ผมใช้ดีแทคก็ปลีกวิเวกได้เลย
เหมาะกับการมานอนเล่นพักผ่อนดื่มด่ำกับธรรมชาติได้ประมาณนึงครับ ไม่ไกลจากกรุงเทพมากด้วย
เสียอย่างเดียว บนยอดเขาที่จุดชมวิวมีผึ้งเยอะไปหน่อย
ไม่รู้ว่าผึ้งมันขาดแคลนน้ำหรือเหงื่อผมหวาน
ปล.รูปอื่นๆ อยู่ใน flickr เหมือนเดิม ถ้าสนใจก็คลิกไปดูได้ครับ