Yo-ho, yo-ho, a pirate’s life for me

ถ้ายังจำได้ หรือเพิ่งเปิดหนัง Pirates of the Caribbean ภาคแรกมาดูอีก
นี่คือเนื้อเพลงโจรสลัดที่นางเอกวัยเด็กร้องอยู่บนกราบเรือในฉากเปิดเรื่องเลย
ในภาค At World’s End นี้เราจะได้ฟังตั้งแต่ฉากเปิดในหนังตัวอย่าง
ส่วนตัวหนังจริงๆ ก็จะได้ฟังแบบเต็มๆ เพลงพร้อมคำแปลตั้งแต่ต้นเรื่อง
เพลงมันเป็นโทนเศร้าๆ เข้ากับฉากเปิดเรื่องดีเหมือนกัน
At World's End
CTBV ประเทศไทย ใช้สยามพารากอนเป็นที่เปิดตัว Pirates of the Caribbean: At World’s End
ดารา นักข่าว คนแวดวงภาพยนตร์ก็มากันอุ่นหนาฝาคั่ง เราก็ยืนเนียนไปกะเค้าตามฟอร์ม
ระหว่างรอให้แมทธิวกับลิเดียเค้าร้องเพลงไป ผมก็ต่อแถวเล่นเกมส์รับแจกโปสการ์ด แฮนด์บิลไปเรื่อยเปื่อย
ได้กินน้ำตะไคร้ไปแก้วนึง แย่งขนมกับเบียร์ไม่ทันเพราะเข้าไม่ถึง…(- -“)

พอใกล้ๆ สองทุ่ม ก็รีบไปรอหน้าโรง เดี๋ยวคนจะแน่น ฝากกระเป๋ากล้องกับมือถือไว้หน้าโรงตามกฎ
แล้วก็ไปนั่งดูหนังได้สบายใจ คราวนี้มีตัวอย่างใหม่ของ Ratatouille หนังอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของ Pixar
แปะหัวมาด้วย นอกนั้นก็เป็นเรื่องเดิมๆ ที่เคยดูมาแล้วทั้งหมดเลย
ว่ากันถึงตัวหนัง ไม่เล่าเรื่องก็แล้วกันนะ สรุปแบบไม่เฉลยเลยดีกว่า….

ใครที่ดูภาคแรกแล้วชอบก็คงต้องดูภาคสอง เมื่อดูภาคสองแล้วก็ต้องดูภาคสาม
เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องโฆษณาอะไรมาก ก็มาดูกันให้ครบๆ จบเรื่องกันไป
จริงๆ แล้วก็คงยังไม่จบง่ายๆ หรอก แม้ว่าตัวน้องเคียร่า ไนท์ลี่ จะปฏิเสธเสียงแข็งแล้วว่าไม่เล่นต่อแน่นอน
แต่ป๋าเดปป์ยังอยากเล่นอีก ข่าวว่าเซ็นสัญญาภาค 4 ไปแล้วด้วย เอานะ..ป๋าเค้าชอบบทแจ็ค สแปร์โรว์จริงๆ
ดูในหนังภาคนี้จะยิ่งเห็นว่าจอห์นนี่ เดปป์ เมามันมากขนาดไหนในการรับบทโจรสลัดเพี้ยนคนนี้

ชอบแนวคิดเรื่อง Davy Jones’ Locker (ในหนังแปลว่า “แดนกักวิญญาณ”)
ที่จริงคำนี้มีให้ได้ยินตั้งแต่ภาคแรกอยู่แล้ว ตอนที่พูดถึงบู๊ทสแตร็ปว่าถูกจับมัดกับปืนใหญ่ถ่วงน้ำ
ฉากน้ำตกที่ขอบฟ้าทำให้นึกถึงการ์ตูนเรื่อง Sinbad: Legend of the Seven Seas เมื่อสามสี่ปีก่อนเลย

เทคนิคด้านภาพยังสุดยอดเหมือนเดิม แค่ดูฉากกองเรือถล่มกันกับแอ็คชั่นท้ายเรื่องก็คุ้มแล้ว
อารมณ์ขันก็ยังมีอยู่ แม้จะไม่แพรวพราวเท่าภาคก่อนๆ
แจ็คกับบาร์บอสซ่านี่อยู่ด้วยกันจะฮามากอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ภาคแรกยังไล่ฆ่ากันอยู่เลย
เรือฟลายอิ้งดัตช์แมนกับเหล่าลูกเรือผีทะเลทั้งหลาย ถึงจะไม่เด่นเท่าภาคที่แล้ว แต่ก็ยังเนี้ยบ

ข้อเสียของภาคนี้ก็คือรู้สึกว่า เรื่องมันเยอะ ตัวละครแยะ ดูแล้วตามหนังแทบไม่ทัน ปมต่างๆ ก็เคลียร์ไม่สวยเท่าไหร่
เดาได้ว่าต้องยังคงมีคำถามมากมายจากคนดูหลังจบเรื่อง แต่มองในแง่ดีก็คือได้ทำให้มาคุยกันสนุกขึ้น

ผมว่าไตรภาคชุดนี้ดูจบแล้วได้อารมณ์ใกล้เคียงกับ The Matrix คือ ภาคแรกสมบูรณ์ ลงตัว จบได้ด้วยตัวเอง
พอฮิตขึ้นมา ก็เลยอยากทำให้เป็นไตรภาค เลยแบ่งบทภาคสองกับภาคสามเป็นเรื่องเดียวกัน
สุดท้ายผลลัพธ์ก็จะล้นๆ เพราะสเกลมันใหญ่เกินไป (อ่าวเรือแตกในหนังเห็นแล้วแอบนึกถึงนครใต้ดิน Zion)
ถ้าถามว่าชอบภาคไหนมากกว่ากัน ก็เรียงลำดับตามภาค 1 2 3 ไปเลย

แนะนำว่าควรเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อยก่อนเข้าโรงหนังนะครับ เพราะภาคนี้ยาว 168 นาที
เทียบกับภาคแรก 143 นาที ภาคสอง 150 นาที ปกติหนังสองชั่วโมงเต็มๆ ก็ถือว่ายาวแล้วนะ
ที่สำคัญก็ขอให้อยู่ดูจนจบ end credit เหมือนทุกภาคที่ผ่านมาด้วยก็แล้วกัน จะได้ดูจบไตรภาคอย่างสมบูรณ์จริงๆ

นิดนึง…สูตรการดูหนังภาคต่อให้สนุก ก็คือไปหาสองภาคแรกมาดูทบทวนก่อนไปดูภาคสามครับ
หรือจะใช้วิธีลัด ไปอ่าน Starpics เล่มใหม่ หน้าปกแจ็ค สแปร์โรว์ ดู timeline ของหนัง
ได้เก็บรายละเอียดกันเพลินไปเลย อย่าพลาดเชียว ^_^

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *