ภูกระดึง day 3

25 ต.ค.
วันนี้ตอนแรกตั้งใจจะไปผาหล่มสักอีกรอบ กะว่าจะปั่นจักรยานไป แต่สอบถามราคาดูแล้ว
อัตราค่าเช่าจักรยานคิดเป็นระยะทาง ถ้าจะเช่าไปไกลสุดคือผาหล่มสัก คิด 300 บาท
เลยไม่เอาดีกว่า (ที่จริงปวดขามาก อ้างค่าเช่ารถแพงไปงั้นแหละ)

เอาเข้าจริงเลยเป็นวันแห่งความขี้เกียจ คือเน้นนอนพักผ่อน ตื่นอีกทีก็เกือบ 11 โมง ก็ไปหาอะไรกินซะ

เกือบๆ บ่ายสาม อยากเดินเล่นกันแค่ใกล้ๆ จุดกางเต๊นท์ เลยเดินไปลานวัดพระแก้ว
ป้ายบอกทางบอกว่าห้ามเข้าหลังบ่ายสาม เพราะอาจเจอช้างป่า ดูนาฬิกา เหลือประมาณ 3 นาทีจะบ่ายสาม
เลยรีบๆ เดินเข้าไป เดี๋ยวบ่ายสามแล้วจะเข้าไม่ได้ ก็เดินกันแบบเสียวๆ มองรอบตัวเป็นระยะ
วันนี้ไม่มีใครเดินเส้นทางนี้กันเลย มีกันสามคนนี่แหละ วังเวงดีแท้

เดินแค่กิโลนิดๆ ก็ถึงลานวัดพระแก้วก็ถ่ายรูปนิดหน่อย

แล้วก็เดินเลาะต่อไปผานกแอ่น

ถ่ายรูปตรงนี้นานหน่อย

ถือโอกาสนั่งพักไปในตัว ไม่มีใครมาแถวนี้กันเลยเหมือนกัน
เพราะเค้าคงมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกันตั้งแต่เช้าแล้ว บ่ายๆ เย็นๆ แบบนี้ใครจะบ้ามา

พอเริ่มเย็น ฝนทำท่าจะตกอีก เลยเดินกลับที่พัก เกือบ 5 โมงเย็น
ไปอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็นั่งเขียนโปสการ์ดกัน

เสร็จแล้วก็เดินไปนั่งร้านชาชักต่อ แม่ค้าคุยสนุก ช่วยจัดหาของที่ขาดเหลือให้ด้วย ใจดีมาก
ดึกๆ ก็กลับมานอน ก่อนกลับพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามหาสมุนไพรพื้นบ้าน
เผื่อจะเอามาแก้หนาวได้ โชคไม่ดีที่คืนนี้เค้าหาไม่ได้ เลยต้องใช้บริการลีโอแทน
คนละกระป๋องสองกระป๋อง แก้คอแห้งไปได้คืนนึง

ระหว่างนั่งดริ๊งค์กัน เหลือบไปเห็นพี่บิ๊กขวดนี้ในร้าน ไม่เคยเจอครับ

ลิงก์ –
ภูกระดึง day 2
ภูกระดึง day 4

ภูกระดึง day 2

24 ต.ค.
ผมตื่นมาตีห้าครึ่ง ได้ยินเสียงคนเตรียมตัวจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น
แต่ไม่ทันไร ฝนก็เทลงมากระหน่ำ เลยคิดในใจว่าไปดูก็คงไม่เห็นอะไร เลยนอนกันต่อ
ตื่นอีกที 7 โมงเช้า ก็เดินฝ่าฝนและดงทากไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็ไปกินข้าว

สายๆ ก็ไปหาที่ชาร์จแบทมือถือ มีปลั๊กอยู่บ้างที่ศูนย์ฯ ต่ายรอบคอบมากที่พกปลั๊กพ่วงมาด้วย
เลยหมดปัญหาปลั๊กเต็ม นั่งอ่านหนังสือที่หนีบไปด้วยเฝ้ามือถือประมาณครึ่งชั่วโมงก็พอ
เพราะไม่ได้โทร ใช้แต่ twitter อย่างเดียว พอ 11 โมง ก็หาเรื่องออกเดินเที่ยว
ส่วนมากวันนี้คนก็จะไปผาหล่มสักกัน เราก็ตั้งใจแบบนั้น แต่จะวนเดินไปทางน้ำตกก่อน

ก็เก็บเรียงไปตามแผนที่เลย ตอนแรกนึกว่าจะเป็นทางราบ ที่ไหนได้ ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนเดิม
ฝนก็ตกเป็นระยะๆ สะพายกระเป๋ากล้องไปด้วย แล้วก็ห้อยกล้องทอย Argus Bean
ที่เพิ่งซื้อมาคนละตัวกับโน่ไปด้วย มันสะดวกดี คุณภาพก็ดีกว่ากล้องในโทรศัพท์มือถือนิดหน่อย
ราคาไม่แพง สองพันนิดๆ ตัวกล้องเป็น snap ring ห้อยหูกางเกงได้ เท่อย่าบอกใคร (ไม่ใช่ในรูปข้างล่างนี้นะ อันนี้ E-520)

เดินอ้อมเก็บไปได้เกือบทุกน้ำตก ก็ต้องตัดสินใจ ว่าจะเดินต่อไปถึงผาหล่มสัก ทางสระอโนดาต
หรือจะย้อนนิดนึง มาที่ผานาน้อยก่อน เพราะจะมีร้านค้า ถ้าไปต่อเลย จะไม่มีร้านค้าอีกเลย
เราต้องเลือกปากท้องไว้ก่อน เพราะมันจะบ่ายโมงแล้ว เลยวกนิดนึงมาผานาน้อย แวะกินข้าวที่นี่กัน

ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปไปเกือบทุกผาที่เป็นจุดพักและมีร้านค้า

แล้วก็เดินต่อไปตามเส้นทางเลียบขอบผาไปเรื่อยๆ ถึงผาหล่มสักเกือบ 5 โมงเย็น
ถ่ายรูปตามสเต็ป มุมมหาชน

พอใกล้ 6 โมงเย็นก็เริ่มมืด แวะร้านชมพู่มะเหมี่ยว ถ่ายรูปมาฝากน้อง @mameou ซะหน่อย
สั่งลีโอมาคนละกระป๋อง ซดให้ชื่นใจคลายปวดเมื่อย แล้วก็เดินกลับ
ช่วงนี้สนุก เพราะทางมืดแล้ว ต้องเอาไฟฉายส่องทางเดินกลับมาเรื่อยๆ
ระหว่างทางก็มีเสียงลมพัดอื้ออึงเป็นระยะ ถ้าเดินคนเดียวคงหลอนตายแน่ๆ
ฟ้ามืดสนิท เงยหน้าไปเห็นดาวเต็มฟ้า ซักพักดาวก็หาย เมฆมามืด ฝนก็เทลงมา
เสื้อกันฝนก็ไม่มี มีแต่แจ็คเก็ตกันหนาวนั่นแหละ แต่ฝนตกไม่หนักมาก พอเดินได้สบาย

ถึงจุดกางเต๊นท์เกือบ 3 ทุ่ม กินข้าวร้านเดิม เพราะให้ข้าวเยอะดี (ชื่อร้านสุขสันต์)
กินเสร็จ ยืนขึ้นก็แทบทรุด เพราะอาการปวดขากำเริบ ก็ค่อยๆ เดินกะย่องกะแย่งกลับเต๊นท์กัน

กำจัดน้ำอำพันจอห์นนี่นักเดินที่เหลืออีกราวๆ ครึ่งลิตรก็หลับกันพลิ้ว

ลิงก์ –
ภูกระดึง day 1
ภูกระดึง day 3

ภูกระดึง day 1

ประกาศปิดที่ทำการ majorbike งดปั่นวันศุกร์ชั่วคราว
ปิดบ้านไปเที่ยวภูกระดึงกันสามหนุ่ม ผม โน่ ต่าย ตั้งใจไปเที่ยวกัน 4 วัน 3 คืน
โน่ไปมา 2 ครั้งแล้ว ต่ายก็เพิ่งไปมาเมื่อต้นปี ผมเกิดมาเพิ่งเคยไปครั้งแรกก็คราวนี้เอง

ออกเดินทางตั้งแต่คืนวันพุธที่ 22 ได้รถแอร์เมืองเลย ตอน 19:50 น.
รีบบึ่งไปหมอชิตกันแบบฉิวเฉียด แต่กว่ารถจะเข้าชานชาลาก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มครึ่ง
รถออก 3 ทุ่ม วิ่งเร็วปานพายุบุแคม ถึงผานกเค้าตอนตี 3 เร็วโคตรพ่อโคตรแม่ ไม่ทันจะได้หลับเลย

23 ต.ค.
เช้ามืดก็เดินโต๋เต๋อยู่แถวนั้น รอรถสองแถวเข้าอุทยานตอนตี 5 แม่ค้ายุให้ซื้อถุงเท้ากันทาก โดนไปคนละคู่
ถึงอุทยานก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ขึ้นภูตั้งแต่ 6 โมงเช้า อากาศเย็นสบาย ไม่มีฝน
แบกสัมภาระขึ้นไปเองคนละเกือบ 10 กิโล ตอนแรกต่ายจะใช้บริการลูกหาบ
แต่ผมกับโน่กดดันจนต้องยอมแบกเอง ก่อนขึ้นก็ดูข้อมูลซะหน่อย

40 นาทีต่อมาก็ถึงจุดพักแรก ซำแฮ่ก หอบแฮ่กสมชื่อจริงๆ แวะกินน้ำคนละขวด
แล้วก็ลุยต่อ ทางยังสบายๆ ไม่เละเทะ แต่ก็ชันเอาเรื่อง

ระหว่างทางขึ้นจะมีจุดพักที่มีร้านค้าอยู่ 4 จุด คือซำแฮ่ก ซำกอซาง ซำกกโดน แล้วก็ซำแคร่
มีสัญญาณโทรศัพท์เกือบตลอดเส้นทาง (dtac) ผมก็ tweet รายงานผลไปเรื่อยๆ
มีเพื่อนๆ ให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา เทคโนโลยีมันดีจริงๆ ขอบคุณ @sugree ที่ทำ jibjib ให้ผมได้ใช้

แวะพักกินน้ำมันทุกจุด ถึงซำสุดท้าย ไม่มีสัญญาณมือถือเลย แม่ค้าบอกว่าซำแคร่มันเป็นแอ่งอับ
เส้นทางช่วงสุดท้ายดูจากแผนที่ก็อีกประมาณ 1.3 กิโลเมตร แต่ชันมาก
ทางก็เละ เพราะฝนเพิ่งตกเมื่อวาน มีไต่บันไดเหล็กเป็นช่วงๆ ตอนปลายก็หลายบันไดหน่อย

9 โมงครึ่งก็ถึงยอดภู คือหลังแป ปวดขาสุดชีวิต กางเกง รองเท้าก็เละเทะ

แล้วก็เดินไปจุดกางเต๊นท์อีก 4 กิโล

ยอดภูกระดึงเป็นที่ราบ เดินสบายๆ ไปเรื่อย ประมาณ 40 นาทีก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ก็ไปจ่ายเงินเช่าเต๊นท์ขนาด 3 คน คืนละ 225 บาท เช่าหมอน แผ่นปูรองพื้น ถุงนอน อีกคนละชุด
คืนละ 60 บาทต่อคน (หมอน 10 บาท แผ่นรองพื้น 20 ถุงนอน 30)

เดินไปเลือกเต๊นท์ เอาตรงโซน H (เค้าแบ่งเป็นโซนๆ พื้นที่กว้างเหมือนสนามฟุตบอลเลย)
เจ้าหน้าที่กางเต๊นท์ไว้เรียบร้อยแล้ว เลือกเอาได้เลยว่าอยากได้เต๊นท์ไหน ก็เหมือนๆ กันหมด
เราเลยเลือกทำเลที่คาดว่าจะมีคนเดินผ่านพลุกพล่านหน่อย เผื่อจะได้มีอะไรๆ ให้ดูแก้เหงาบ้าง 😛

เก็บข้าวของแล้ว ก็เกือบบ่ายโมง เลยไปอาบน้ำ แล้วก็หาอะไรกิน หมอกยังขาวโพลนอยู่เลย
ถ่ายรูปนู่นนิดนี่หน่อยไปตามเรื่องตามราว ยังมีนักท่องเที่ยวทยอยเดินขึ้นมาเรื่อยๆ

อากาศเย็นสบาย มีฝนเป็นช่วงๆ แต่ไม่หนักมาก ที่รำคาญหน่อยก็คือต้องคอยระวังทาก
กลัวว่าถ้าเข้ามาในเต๊นท์แล้วนอนๆ อยู่เกิดมาเกาะ มาไช เข้าหัวเข้าหู จะสยอง
ตอนเช้าเห็นน้องนักศึกษาคนนึง ทักกันเรื่องทากแล้วเปิดหัวให้ดู ยังมีคราบเลือดอยู่เลย – -”

บนภูเค้าไม่ให้ก่อไฟ แต่เอาเตาแก๊สมาทำอาหารได้ ส่วนพวกผมก็ฝากท้องกับร้านอาหารอย่างเดียว

ข้าวตามสั่งจานละ 45 บาท ไม่ขูดรีดมาก ปกติกินข้างบ้านที่กรุงเทพ ก็ 35-40 บาทอยู่แล้ว
กินเสร็จ ก็ถ่ายรูปแถวๆ ร้าน

ตกกลางคืน ก็กรึ๊บกันพอเป็นกระสายแก้หนาว โน่อุตส่าห์แบกแบล็คเลเบิ้ลขนาด 1 ลิตรมาด้วย
มีประโยชน์มาก เพราะนั่งๆ กันอยู่ โน่ก็บ่นคันหลัง เอื้อมมือไปจับแล้วบอกว่ารู้สึกหยุ่นๆ
เลยเลิกเสื้อ เห็นทากเกาะอยู่กลางหลัง เลยดึงออกมา เวลาดึงทากนี่ต้องดึงตรงๆ
เพราะถ้ามันฝังขากรรไกรดูดเลือดไปแล้ว แผลจะได้ไม่ใหญ่มาก จับด้านใกล้ปากมัน
ออกแรงนิดนึง เทเหล้าใส่ภาชนะเล็กน้อย แล้วก็เอาทากใส่ลงไป เดี๋ยวมันก็เมา นอนเหยียดยาวแน่นิ่ง
ไม่มากวนใจอีกต่อไป แต่จริงๆ ถ้าไม่รำคาญก็ปล่อยให้มันดูดจนอิ่ม เดี๋ยวมันก็สลัดตัวออกไปเอง
(ควรใช้กรณีที่เดินป่าอยู่ กรณีเข้านอนแบบนี้ไม่แนะนำ ดึงออกแหละดีแล้ว)

คืนนี้หลับเร็ว เพราะเพลีย คิดว่าไม่เกิน 4 ทุ่มก็สลบกันหมด

ลิงก์ –
ภูกระดึง day 2

ทีมล่าอสรพิษ

วันอาทิตย์ไปบริจาคเลือดที่สภากาชาด อังรีดูนังต์
เป็นประกาศแล้วชอบใจ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์
ทีมล่าอสรพิษ
แต่ไม่รู้ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ยังใช้ได้อยู่รึเปล่า กระดาษเก่าเชียว
ยังไม่เจองู ไม่กล้าโทรเช็ค (-_-“)

Kona Bike Park #5

ในที่สุดก็ตกลงปลงใจร่วมเดินทางไปกับเค้า หลังจากที่ยังไม่รับปากน้าเด๋อตอน Car Free Day
แต่คิดว่าไม่ไปก็คงจะน่าเสียดาย ถือว่าไปเก็บประสบการณ์ที่เจ็ดคตด้วย ยังไม่เคยไป

วันเสาร์วินกับโบ้ตก็มารับที่บ้านตอนเก้าโมง เก็บกระเป๋ารอไว้แล้ว
มาถึงก็แพ็ครถขึ้นหลังคา ไปสมทบกันที่บ้านพี่อู๊ดที่ลาดพร้าว 62
Kona Stinky Air and Kona Stab Supreme Special Edition on Mazda 3

ออกจากบ้านพี่อู๊ดสิบโมง ไปแวะเอารถจักรยานอีกคันของโบ้ตที่ร้านเวิร์ลไบค์ รามอินทรา กม.8
อารมณ์เหมือนไปรับรถที่ศูนย์ เพราะโบ้ตเอาไปทิ้งไว้ให้ร้านเซอร์วิสนิดหน่อย ก่อนเอาไปลุยหนัก

ก็ขับรถไปถึงสระบุรี เลี้ยวขวาไปทางโคราช กลับรถเข้าไปที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า
อยู่ลึกเข้าไปจากถนนมิตรภาพอีกประมาณสิบกว่ากิโล

เป็นที่ที่เราจะไปกางเต๊นท์และปั่นลงเขากัน ในรูปข้างล่างนี่
(ขอบคุณภาพแผนที่โดยคุณ HYM แห่ง Maxrider.com)
Chetkot
เส้นขาวๆ ก็คือถนนราดยางครับ เราขับรถเข้ามาจากทางด้านซ้ายของแผนที่
ด้านล่างขวาคืออ่างเก็บน้ำ ก็กางเต๊นท์กันตรงตำแหน่ง 7 นาฬิกาของอ่างเก็บน้ำข้างล่าง

สี่โมงเย็น ได้เวลา แต่งองค์ทรงเครื่องกันเรียบร้อย ผมกับพี่อู๊ดไม่มีชุดเกราะครับ มีแค่เสื้อยืด
หมวกกันน็อค แว่นก๊อกเกิลส์ ถุงมือ สนับเข่า/แข้ง ส่วนวินกับโบ้ตพร้อมรบอย่างน่าอิจฉา
แล้วก็เอาจักรยานใส่รถกระบะไปตามทางราดยางขึ้นไปที่จุดชมวิวบนยอดเขา
แล้วก็ปั่น ดิ่ง ไหล รูดลงมาตามเส้นทางสีแดงกับน้ำเงิน (แล้วแต่จะเลือก)

เวลาขนจักรยานขึ้นไปก็จะอารมณ์ประมาณนี้
P9281107.JPG

วันแรกที่ขึ้นไปซ้อมเส้นทาง เป็นวันเสาร์ ยังไม่มีแข่งจริงนะครับ
เหมือนไปลองเล่นกันเอง แต่ผมขอเอารูปวันแข่งให้ดูประกอบเส้นทางก็แล้วกัน

สนามนี้ขึ้นชื่อเรื่องความสนุกครับ ใครๆ ก็บอกตรงกันว่า
“สนามดาวน์ฮิลล์ที่เจ็ดคนเนี่ยปั่นสนุก ทางสั้นๆ ไม่ชันมาก ไม่อันตราย รับรองมันส์”
ผมก็เบาใจ ขนาดเขาอีโต้ยังผ่านมาได้เลย ทางยาวตั้งแปดเก้าโล แถมชันด้วย แบบนี้เจ็ดคตก็ขนม

ขึ้นไปที่จุดปล่อยตัวเลย เส้นทางคราวนี้จะไม่เหมือนปกติ คือการแข่งดาวน์ฮิลทั่วไป
ก็จะเป็นทางลงเส้นเดียว ปล่อยทีละคน จับเวลา ใครลงถึงเส้นชัยข้างล่างเร็วสุดก็ชนะไป
แต่คราวนี้น้าเด๋อ คนจัดงานไอเดียบรรเจิด ทำเป็น dual downhill ครั้งแรก
เป็นแทร็คคู่กัน เอาเทปกั้นกลาง ลงพร้อมกัน แข่งกัน 2 ใน 3 คือผลัดกันลงคนละทาง
ถ้าเสมอกันก็จับสลากตัดสินรอบสาม เส้นทางจะเป็นแบบนี้ครับ
Chet Kot Route
ทางร่วมก็คือทางที่มาแตะกัน ไม่ถึงกับมาวิ่งในช่องเดียวกันนะครับ
แต่ทางตัดคือมันจะไขว้กัน ก็ต้องระวังนิดนึง ถ้ามาเร็วทั้งคู่ ก็คงต้องหลบๆ กันหน่อย
แต่ตลอดการแข่งก็ไม่เห็นมีใครประสานงากันเลย

เนื่องจากเราแค่มาซ้อมกันเอง 4 คน คือมีคนอื่นๆ เค้าก็มาซ้อมเหมือนกัน แต่เราให้เค้าไปก่อน
ลงกันชุดสุดท้าย จะได้ไม่ไปขวางทางคนที่เร็วกว่า ก็เลือกลงทางเดียวกัน เรียงกันไปดีกว่า
ยังไงก็ไล่กันไม่ทันอยู่แล้ว ผมลงหลังสุด เลือกทาง B ก่อนครับ เดี๋ยวค่อยมาลองทาง A อีกรอบ

น้องๆ ที่ทำสนามบอกว่าทาง B ไม่ยาก อัดสปีดได้เต็มที่ แต่คุณพระช่วย!
จุดสตาร์ทมันเป็นแผ่นไม้ยื่นออกไปให้ดร็อปลง สูงประมาณเมตรเศษๆ แถมติดกันสองอัน
อันนึงอยู่ที่ป้ายจุดสตาร์ทเลย อีกอันคือที่กำลังโดดอยู่ในรูปนี้
2 Drops

สามคนแรกก็นำไปก่อน โดดกันไป ตุ้บ…ตุ้บ…เข้าโค้ง หายลับเข้าป่าไป
Going to the forest

ผมก็ลงตามไปทันที

ปั่นๆๆ…ฮึบ…ตุ้บ!…ฮึบ…ตุ้บ!…ครืด…โครม!!!

รถลงไปกอง คอรถหมุนพับไปข้างนึง โลกมืดสนิท
ผมได้ยินเสียงดัง

พล้อก! ปื้ดดดด…

ภาษานักดิ่งเรียกว่า “เอาหมวกไปสแกนพื้น”
(กลับบ้านโน่ทักแบบนี้เลย “เอาหมวกไปสแกนพื้นมาแล้วสิเนี่ย” หมวกมีรอยถลอกกว้างยาวประมาณนิ้วนึง)
รู้สึกจุกนิดหน่อย กับเจ็บๆ ตรงเอวด้านขวา ได้หมูแดงหนึ่งแผ่นที่ใต้ศอกขวาด้วย
(หมูแดงคือตรงรอยถลอกขาวเป็นแผ่น ขอบแผลสีแดง เลือดซิบๆ) (-_-“)

ก็ลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว คิดว่าเร็วนะ เพราะจับรถคร่อมปั่นต่อรู้สึกภาพมันเบลอๆ
ก็เข้าใจว่าแว่นมันไม่เข้าที่ พยายามขยับแว่น แต่แว่นมันก็ตรึงสนิทแน่นอยู่ในช่องหน้ากากหมวกกันน็อค
เลยรู้ตัวว่า “นี่กูกำลังมึน”
เลยเอื่อยๆ ไป ถึงเนินไม้ที่หลักกิโลถัดมา
P9281143.JPG
ปั่นมาอย่างเร็ว อัดขึ้นเนิน ลอยละลิ่ว ตกลงมาอย่างสวยงาม…
ไม่ใช่ละ…ถ้าทำแบบนั้น ผมลอยสวยงาม แต่ตกลงมาศพไม่สวยแน่
ด้วยประสบการณ์แก่กล้า เลยเบี่ยงออกขวา หลบเนินไม้ไปได้อย่างปลอดภัย…อืม…
แต่ถ้าดูภาพจะเห็นว่าอีกเส้นนึงมันจะไม่มีทางให้เบี่ยง ต้องขึ้นเนินสถานเดียว

โอ้ว รอดแล้ว ที่เหลือก็เข้าป่า มุดดงไม้ ดงหิน ไปเรื่อยเปื่อย ชาร์จเบรคเป็นระยะๆ สับซ้ายสับขวา
มันมาก ในป่ามีหินขวางทางแต่ผู้จัดเอาสีแดงไปทาไว้ให้เห็นชัดแต่ไกล ก็เลือกไลน์ซ้ายขวาหลบเอาเอง
เข้าด้านไหนก็อย่าลืมหมุนขาให้บันไดข้างนั้นมันสูงพ้นหินก็แล้วกัน

ช่วงท้ายๆ ทางค่อนข้างชัน ก็ไหลไปเรื่อยๆ ไม่เกินสิบนาที ก็โผล่เส้นชัยครับ
เค้าทำเป็นเนินเล็กๆ ไว้ ถ้ามาเร็วก็อัดขึ้นเนินลอยข้ามไปเลย ผมไหลมาเบาๆ ก็รูดไปสบายๆ
จบ…รอบแรก!!

ลงจากรถ เหนื่อยโคตรๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่การปล่อยไหลมันจะใช้พลังกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมรถเยอะแบบนี้
วินเห็นแขนถลอก เลยเอาสนับศอกมาให้ใส่ เพราะชุดเกราะเค้ามันยาวคลุมศอกอยู่แล้ว

คนขับรถกระบะ ลงมารอแล้ว ก็ขนขึ้นอีกรอบ สนามที่นี่ดีอีกอย่างก็ตรงนี้ครับ
ทางไม่ยาวเกินไป ทางราดยางขึ้นเขาก็สั้นแค่กิโลครึ่ง คนขับรถรับส่งจักรยานไม่ลำบากเหมือนเขาอีโต้
อันนั้นทางขึ้นไกลตั้ง 7-8 กิโล ขับไปส่ง ปล่อยจักรยานดิ่งลงมาถึงข้างล่างแล้ว รถยนต์ยังย้อนมาไม่ถึงเลย

รอบสองก็เอาใหม่ครับ คราวนี้เปลี่ยนมาลงทาง A บ้าง…
อันนี้ง่ายกว่า ไม่มีดร๊อป ลงจากหินก้อนใหญ่แบบหย่อนไหลลงมาได้ ไม่จำเป็นต้องโดด (แต่มันก็มีคนโดดนะ รีบกันจริง)
ช่วงนี้ลองพยายามปั่นดูบ้าง ปกติแค่ปล่อยไหลอย่างเดียวก็จะแย่แล้ว แต่อยากลอง
เวลาดูแข่ง เห็นบางคนเค้าปั่นสับขากันยิก แค่ไหลไปตามแรงโน้มถ่วงมันไม่พอใจใช่มั้ย

การยืนตลอดมันเมื่อยมากครับ เพราะเวลาดาวน์ฮิลมันไม่ค่อยจะมีโอกาสได้นั่งปั่นเลย
บางช่วงนี่ผมขาสั่นเลย มันเกร็งไปหมด พอไปถึงกลางป่าก็พบว่าทาง A มีทางลงชันหลายจุดมาก
ทางที่ชันที่สุดน่าจะเกิน 30 องศาได้ ลงมาเร็วๆ ผมก็พยายามเบรคเป็นช่วงๆ
ดาวน์ฮิลคือศิลปะในการใช้เบรคครับ แต่พอมันเอาไม่อยู่ หน้ารถก็สะบัด
รถก็ลงไปพับ ตัวก็ลอยออกไป

“โว้ว….” กลุกๆๆๆๆ…

กลิ้งครับ กลางทางชันเลย โชคดีที่รถไม่ลอยตามมาฟาดหลัง
ระหว่างกลิ้งตัวลอยอยู่บนผิวดิน รู้สึกว่าหมุนอยู่หลายรอบ แต่ร่างกายสัมผัสพื้นอย่างแผ่วเบา…(จริงเหรอวะ)
สนับศอกได้ผล ลุกขึ้น สำรวจตัวเอง คิดว่าไม่มีอะไรบุบสลาย แค่ผิวหนังไม่กี่มิลลิเมตร
ได้ยินเสียงตะโกนจากข้างบนว่า “เป็นไรมั้ยคร๊าบบ…” เฮ้ย..มีคนได้ยินเสียงเรากลิ้งด้วยเหรอเนี่ย
ก็ทำเท่ ตะโกนไปว่า “ไม่เป็นไรคร๊าบ” แล้วก็มาจับรถยก เตรียมลุยต่อ
หมุนคอรถไปมา ผิดๆ ถูกๆ (-_-“) โอเค ไม่เป็นไรจริงๆ ไปต่อได้

ก็ลงมาเรื่อยๆ คราวนี้ไม่มีอะไรหยุดได้อีกแล้ว เพราะจุดที่ยากที่สุดผ่านมาหมด
สรุป ลงสองรอบ รอบแรกคว่ำ รอบสองกลิ้ง สะบักสะบอมพอสมควร
ไหนบอกว่าทางง่ายๆ ไม่มีอันตรายไงฟระ ผมเห็นลง 10 คน กลิ้งกันซะ 9 คน
ได้แผลสด แผลช้ำกันถ้วนหน้า (ไม่อันตรายคงหมายถึง ไม่อันตราย “มาก”)

พรรคพวกจะต่อรอบสามกัน ผมไม่ไหวแล้ว รู้สึกระบมๆ เลยนั่งรถขึ้นไปเป็นเพื่อนคนขับ
แล้วก็นั่งลงมารับ เริ่มรู้ตัวว่าเจ็บ จะลุกนั่งก็ร้าวเป็นวงกว้างตั้งแต่เอวจนถึงต้นขา
ไหล่ ศอกก็ฟกช้ำแต่เล็กน้อย รู้สึกว่าเป็นธรรมดา แต่ช่วงเอวนี่หนักหน่อย

คืนนั้นนอนระบม จะพลิกตัวลุกนั่งนี่สาหัสเลย เป็นอันว่านอนตะแคงขวาไม่ได้
แถมฝนตกอากาศเย็นอีก ใจก็คิดว่า เวรละ…ฝนตกหนักแบบนี้ ทางเละแน่ๆ

แต่ผิดคาด เช้ามา ทางเปียกแฉะเล็กน้อย ไม่ถึงกับเป็นโคลนเลน แข่งกันได้สบาย
แต่ผมขอผ่านครับ ประหยัดค่าลงทะเบียนแข่งไปได้ 100 บาท ฮ่าๆๆ
แค่ปั่นเฉยๆ ก็พอกัดฟันไหวครับ ปั่นมาจุดอำนวยการ ขึ้นเนินนิดหน่อย
แต่ถ้าให้ลงแข่งด้วย ตายดีกว่า เลยได้แต่เป็นช่างภาพไป

สรุปเจ็บตัวกลับมานิดหน่อย ฟกช้ำพอเป็นพิธี เดินกะเผลกสองวันก็น่าจะหาย
รอยเขียวช้ำที่เอวเข้มขึ้น แต่ลุกนั่งได้ไม่เจ็บปวดมากแล้ว
ยังดีกว่าตอนไปเล่นเคเบิ้ลสกีที่บึงตะโก้ อันนั้นปวดแบบรวดร้าวนานหลายวัน จะถอดเสื้อใส่เสื้อทีต้องร้องโอดโอย
ประสบการณ์นี้สอนให้รู้ว่า ผมต้องมีเสื้อเกราะ ฮ่าๆๆ…อนุมัติด้วย! 😛

เสียดายอีกอย่างที่ไม่ได้เข้าไปในน้ำตกเจ็ดคต ซึ่งจะเข้าไปลึกกว่าตรงที่ผมกางเต๊นท์พักอีกหน่อย
ไม่รู้ว่าสวยแค่ไหน แต่ตรงที่พักกางเต๊นท์ริมอ่างเก็บน้ำ สวย อากาศดี คนไม่เยอะ
ห้องน้ำสะอาด มีบ้านพักให้เช่าราคาไม่แพง มีกิจกรรมเดินป่า กับปั่นจักรยานชมธรรมชาติรอบอ่างเก็บน้ำ
และมีสัญญาณโทรศัพท์ AIS เฉพาะจุดศูนย์อำนวยการเท่านั้น ผมใช้ดีแทคก็ปลีกวิเวกได้เลย
เหมาะกับการมานอนเล่นพักผ่อนดื่มด่ำกับธรรมชาติได้ประมาณนึงครับ ไม่ไกลจากกรุงเทพมากด้วย
เสียอย่างเดียว บนยอดเขาที่จุดชมวิวมีผึ้งเยอะไปหน่อย
P9281217
ไม่รู้ว่าผึ้งมันขาดแคลนน้ำหรือเหงื่อผมหวาน

ปล.รูปอื่นๆ อยู่ใน flickr เหมือนเดิม ถ้าสนใจก็คลิกไปดูได้ครับ