ขอโม้เรื่องจักรยานอีกซักที เพราะเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ
ช่วงหยุดยาวสามวัน พี่ผึ้งชวนไปปั่นครอสที่ “มักกะห์ของวงการจักรยาน” เขาอีโต้ ปราจีนบุรี
ผมตกลงทันที เพราะได้ยินชื่อเสียงมานาน (อีกที่นึงในคิวก็คือ เขาสามหลั่น สระบุรี)
นัดกันวันอาทิตย์ 8:30 น.ที่ปั๊ม ปตท.หน้าเมเจอร์รัชโยธิน
ออกจากบ้านแปดโมง ปั่นไปถึงก่อนเวลานิดหน่อย พี่ผึ้งก็ขับรถออกมาพอดี
ถอดล้อหน้า เอาใส่รถ ล็อคกับแร็คแน่นหนาแล้วก็ไปบ้านพี่อู๊ด ที่ลาดพร้าว 62
ไปถึงบ้านพี่อู๊ด อดีตนักปั่น BMX ที่หันมาเอาดีทางเสือภูเขา กำลังอัดจักรยาน 3 คัน
ใส่ท้ายรถอยู่พอดี ผมกับพี่ผึ้งก็เลยหาของกินนั่งรอไปพลางๆ ก่อน
สิบโมงก็ออกจากกรุงเทพ มุ่งหน้าสู่ปราจีนบุรี โดยออกไปทางสุขาภิบาล 3
ผ่านฉะเชิงเทรา ขับไปเรื่อยๆ ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง
สภาพอากาศร้อนอย่างวายร้าย แต่เราก็พร้อม เตรียมอุปกรณ์กันมาเต็มที่
ทั้งปลอกแขน สนับแข้ง ถุงมือ หมวกกันน็อค แว่นกันแดด กระบอกน้ำ
รู้สึกอิจฉาพวกพี่ๆ เค้านิดนึงที่ใช้เป้น้ำ จุได้ตั้ง 2-3 ลิตร ผมมีแค่กระบอกน้ำ 700 มล.
ซึ่งเดี๋ยวจะได้ทราบพิษสงของแสงแดดและความร้อนในอีกไม่นาน
ก่อนจะปั่น เราก็ไปทักทายอาจารย์นิพนธ์ ที่เปิดสอนปั่นจักรยานอยู่ปลายเขื่อน
รวมทั้งดูแลต้นน้ำ ป่าไม้ เส้นทางปั่นทุกอย่าง ที่พักก็เป็นเหมือนอู่ซ่อมจักรยานกลายๆ
มีสปอนเซอร์หลายบริษัทมาติดแผ่นป้ายผ้าโฆษณาอยู่ประปราย
เพราะที่นี่ก็เป็นสนามแข่งด้วย ได้เจอตัวอาจารย์แล้วอยากให้รายการคนค้นคนมารู้จักนักเชียว
พี่อู๊ดพาน้องไบค์ลูกชายวัยซน ไปปั่นเล่นในแทร็คสั้นๆ ผมถือโอกาสปั่นตามไป
เพื่อวอร์มอัพ ได้ฟังพี่อู๊ดสอนเจ้าไบค์ก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย พอเหงื่อซึมๆ
ก็วนกลับมา น้องไบค์กับแม่รอยู่ที่พักด้านล่าง สามเสือที่เหลือก็เตรียมไปมันส์กันต่อ
เราให้พี่ผึ้งเป็นคนนำทางเพราะมาบ่อยสุด แต่พี่แกเว้นไปนานเกือบปี ก็เลยมีเหวอกันนิดหน่อย
ถือว่าไปปั่นเล่นนอกเส้นทางบ้าง อาศัยถามทางชาวบ้านแถวนั้นเอา
ปั่นวนมาจนถึงน้ำตกเขาอีโต้ ที่มีแค่แอ่งน้ำขัง เพราะแล้งมาก เราแวะพักที่เพิงขายของ
สั่งเป๊ปซี่ 1.25 ลิตร พร้อมน้ำแข็งหนึ่งกระติกมาเพิ่มกลูโคสกันทันที
นั่งพักสักครู่ ก็ออกเดินทางต่อ คราวนี้แหละของจริง…
เส้นทางขึ้นสลับลง บางช่วงเป็นทางที่พอจะมีรถขับลุยเข้ามาได้บ้าง
บางช่วงก็เป็นแค่ทางเดินป่า ที่เรียกว่า single track คือมันปั่นได้ทีละคันเรียงกันไป
คราวนี้ได้ใช้เทคนิคทุกอย่างที่ปั่น เล่น ซ้อม ฝึก ฟัง อ่านผ่านหูผ่านตามาตลอด
ทักษะโดดขึ้นลงฟุตบาทที่เล่นอยู่ในกรุงเทพนี่เป็นพื้นฐานเลยจริงๆ
สมาธิต้องมั่นคงมาก ได้เปลี่ยนเกียร์จนคล่องก็คราวนี้เอง
พี่ๆ ทั้งสองก็ช่วยแนะนำเทคนิคไปด้วยระหว่างพัก เช่นมองทางล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวเปลี่ยนเกียร์
หรือการวางตำแหน่งบันไดรถเวลาปั่นผ่านซอกหิน โน้มตัวไปข้างหน้าเวลาปั่นขึ้นเขา
รักษารอบขาให้คงที่ ทางขึ้นก็อย่ามองไกลมากเพราะจะท้อซะก่อน ก้มหน้าก้มตาปั่นไป
ช่วงขึ้นแรกๆ ยังพอไหว พอนานๆ เข้าเริ่มหมดแรง ก็ใช้เกียร์ต่ำสุดตลอดคือ 1:1
หมายถึงใช้จานหน้าเล็กสุด จานหลังใหญ่สุด (ผมหลงปั่นจานสองมาตั้งนาน เหนื่อยแทบตาย T_T)
ในที่สุดก็ถึงจุดที่ตั้งใจ ถึงจะยังไม่ใช่จุดสูงสุดของเขาอีโต้ แต่ก็พอใจแล้วครับ
ถ้าต้องไปต่อบนทางชันล้วนๆ อีก 2.5 กม. คงตายแน่ๆ ถึงจะเป็นทางราดยางก็เถอะ
พี่ทั้งสองยืนยันอย่างนั้น “ปล่อยให้พวก downhill เค้าขึ้นรถไปทิ้งดิ่งกันเถอะ”
ไว้ถ้ามีรถ downhill ดีๆ ซักคันจะไปลองบ้าง ว่าแล้วก็ชักรูปกันแถวนี้ไปก่อน
หลังจากนั้นขึ้นต่ออีกนิดเดียวก็เป็นเส้นทางลง มันส์มากๆ แต่ก็เปลี่ยนจากปวดขา
มาเป็นปวดแขนแทน (จริงๆ ก็ระบมไปทั้งตัวนั่นแหละ)
เพราะต้องคอยเลี้ยงเบรค แล้วก็บังคับแฮนด์ ทรงตัว ประคองรถให้อยู่ในเส้นทางที่ดิ่งลง
จะเลียเบรคตลอดก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้ใบดิสค์ร้อนมาก แล้วมันจะเบรคไม่อยู่
บางช่วงก็เป็นลำธารแห้งที่มีแต่หิน หรือไม่ก็ชันเกิน จนเราก็ต้องเข็นข้ามไปบ้าง
พี่อู๊ดสุดยอดมาก โชว์สเต็ปเทพ ดิ่งลงฉลุยจนพี่ผึ้งยังออกปากชม
“ลงโคตรเก่งเลย รถไม่มีโช้คหลังเหมือนพวกเราแท้ๆ”
ตอนนี้เหนื่อยมากจริงๆ นั่งนานหน่อยพอลุกขึ้นยืนก็จะหน้ามืด
น้ำก็หมดแล้ว ต้องขอแบ่งจากเป้น้ำพี่ผึ้งมาช่วย ร่างกายร้อนมากจนรู้สึกเหมือนมัน
จะเผาเหงื่อที่ชุ่มเสื้อผ้าจนไอน้ำระเหยขึ้นมาได้ จังหวะที่ต้องเข็นยาวๆ นี่แทบจะเป็นลม
“กูจะตายแล้ววววววว…” พี่ผึ้งให้เสียงประกอบแอ็คชั่น โดยมีพี่อู๊ดยืนชี้สภาพบุคคล
สามชั่วโมงผ่านไป ตั้งแต่บ่ายโมง ถึงสี่โมงเย็น พี่ผึ้งบอกระยะทางจากไมล์ดิจิทัลให้ชื่นใจว่า 25 กม. เอื๊อกกกกส์…(-_-“)
เราลงเขามาโดยสวัสดิภาพ และมีอาหารเย็นเตรียมไว้รอท่าอย่างดี แต่ผมขอซัดเป็ปซี่ก่อนเลย
แล้วค่อยไปอาบน้ำ เพื่อกลับมานั่งทานข้าวริมทะเลสาป ลมพัดเย็นสบาย เลยคุยกันว่าน่าจะมากางเต๊นท์นอนซักที
สรุปว่านี่เป็นทริปแรกที่ได้ปั่นเสือภูเขาบนทางเดินป่าในภูเขาจริงๆ ทำให้ได้สัมผัสถึงความรู้สึกเก่าๆ
ที่เกือบลืมไปแล้วสมัยที่ต้องเดินป่าตอนวัยรุ่น นั่นคือ “เหนื่อยแทบขาดใจ!!!”
ก่อนกลับไปยืนดูน้องๆ ลูกศิษย์อาจารย์นิพนธ์ฝึกซ้อม เห็นแล้วรู้สึกทึ่งปนอิจฉาที่ได้มีโอกาสปั่นทุกวัน
แถมมีครูฝึกสอนชั้นดี ที่ถ่ายทอดเทคนิค และประสบการณ์ให้อย่างเต็มที่
ได้ยินว่าจะพาไปแข่งที่สุราษฎร์ฯ เร็วๆ นี้ด้วย
วันเสาร์สิ้นเดือนนี้จะกลับไปพิชิตอีกครั้ง พร้อมเป้น้ำ 3 ลิตรที่กลับถึงกรุงเทพก็ไปซื้อมาใช้ทันที
(ขอบคุณ SuperSport ที่ลดราคาให้จนต้องรีบตะครุบ) ตลอดเดือนนี้จะฟิตซ้อมร่างกายไว้ให้พร้อมเลยทีเดียวเชียว…ฮึ่ม…