Book Tag Meme

โดนคุณ wät แปะมา ด้วยความยินดีเลยครับ
เห็นครั้งแรกที่บล็อกพี่ไท้ ซึ่งก็ไปอ่านอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้ตอบ (เหมือนแชมป์เลย)
แล้วก็เริ่มกระจายต่อไป แต่ไม่เร็วเหมือนตอน blog tag เพราะคราวนี้
tag กันแค่ทีละ 2 คน

กติกาขอยกจากคนที่ tag ผมนี่แหละ เขียนเป็นข้อๆ อ่านง่าย น่าลอกดี ;-P
“กติกาการเล่น ไม่มีอะไรมาก เพียงทำตามนี้
1. หยิบหนังสือเล่มที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดมา
2. เปิดไปที่หน้า 123 ไล่หาประโยคที่ 4 ในหน้านั้น
3. นำ 3 ประโยคที่อยู่หลังประโยคที่สี่ มาใส่ในบล็อก
4. ระบุชื่อคนเขียน และชื่อหนังสิอ
5. แปะคนต่ออีก 2 คน”

มองๆ หนังสือบนโต๊ะทำงานแล้วไม่รู้จะเอาเล่มไหน มีแต่หนังสือโปรแกรมมิ่ง
เห็นคนอื่นเค้าแนะนำกันแต่หนังสือภาษาอังกฤษ รู้สึกว่ามันจะดู geek ไปหน่อย
เลยเลือกเอาเล่มนี้ก็แล้วกัน

บรินและเพจจะจ่ายเงินอย่างรอบคอบตอนที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์
ซึ่งให้ชีวิตแก่ธุรกิจ แต่พวกเขาไม่ประหยัดเลยเมื่อมาถึงการสร้างวัฒนธรรมภายในกูเกิลเพล็กส์
และปลูกฝังความภักดีกับความพอใจในการทำงานในหมู่ชาวกูเกลอร์

แหม..รู้สึกมันช่างเหมาะเจาะจริงๆ ที่เลือกเล่มนี้มา
จากหนังสือ เรื่องราวของกูเกิล (The Google Story) เบื้องลึกแห่งความสำเร็จของธุรกิจ
สื่อเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดแห่งยุค ของ David A. Vise กับ Mark Malseed
แปลโดย คุณวิภาดา กิตติโกวิท สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น

ตอนแรกไม่รู้จะ tag ใครต่อ พอดีเห็น mk  พี่ป๊อก ที่ยังว่าง แถม หมวด ยังยุให้แปะต่อให้ ลิ่ว ด้วย
ก็รับไปทั้งสองคนเลยนะครับ ขอแปะคนดังหน่อยเถอะ ^_^

มีโจทย์อีกหลายข้อจากคุณ wät ที่น่าสนุกดี ลองตอบดู ผลออกมาเป็นแบบนี้…

– จำนวนหนังสือที่มีทั้งหมดในครอบครอง
อันนี้นับไม่ไหวจริงๆ 2 ตู้เหล็ก กับในลัง ในกล่อง แล้วที่กระจัดกระจายไปทั่วห้องอีก

– หนังสือเล่มล่าสุดที่เพิ่งซื้อมา
ถ้าไม่นับมติชนสุดสัปดาห์ที่ซื้อเกือบทุกศุกร์กับพวกแม็กกาซีนก็ ใครว่าโลกกลม (The World is Flat)
ฉบับแปลไทยโดยคุณรอฮีม ปรามาท

– หนังสือเล่มล่าสุดที่เพิ่งอ่านจบ
ความสุขของกะทิ

– หนังสือ 5 เล่มที่มีความหมายกับชีวิตคุณ
แก่นพุทธศาสน์ คุยกับประภาส สถาบันสถาปนา ผีซ่าส์กับฮานาดะ เพชรพระอุมา
(สี่เรื่องหลังเป็นชุด ชุดละหลายเล่ม)

– หนังสือที่ยังอ่านไม่จบ
The World is Flat (ต้องรอต่อเล่ม 2)

– หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตคุณ
โลกใบที่สองของโม เพิ่งค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้เอง (เคย qoute ไว้)

– หนังสือที่คุณอ่านมากกว่าหนึ่งรอบ
หลายเล่มเลย

– หนังสือที่คุณอยากเอาไปอ่านเวลาติดเกาะ
ขอเป็นชุดได้มั้ย อยากหอบ “ข้าชื่อโคทาโร” ไปด้วยซะเลย ไม่งั้นก็เพชรพระอุมาก็ได้ อ่านได้นานดี

– หนังสือที่ทำให้คุณหัวเราะ
หลายเล่มเหมือนกันนะ แต่ถ้าเอาแบบปิ๊งแรกเลยนี่ก็ต้อง
ว้าวุ่น ของปินดา โพสยะ (นามปากกาของวัชระ แวววุฒินันท์)

– หนังสือที่ทำให้คุณเสียน้ำตา
คำพิพากษา ของน้าชาติ กอบจิตติ (จริงๆ ฮานาดะก็ทำน้ำตาซึมได้หลายฉากเหมือนกัน)

– หนังสือที่คุณฝันว่าคุณน่าจะเป็นคนเขียน
NOTE BOOK (ไดอารี่ของอุดม แต้พานิช) อ่านแล้วเลยฮึดเขียนบ้าง

– หนังสือที่คุณคิดว่าไม่ควรถูกเขียนขึ้นมา
ไม่มีมั้ง แต่ที่ซื้อแล้วเสียดายตังค์ก็มีบ้างแหละ ไม่อยากพูดถึง

– หนังสือเล่มต่อไปที่อยากอ่าน
หนังสือที่กำลังจะวางขาย (นึกไม่ออกเลยขอเวอร์ไว้ก่อน)

Bangkok Night Trip by K2

หลังจาก Chevrolet ที่ใช้ปฏิบัติการคราวที่แล้วปลดประจำการไป
คือตัดใจขายไปแบบเสียดายเล็กๆ เพราะมันหาโช้คหน้ามาเปลี่ยนยาก
เนื่องจากคอรถเป็นคอนิ้ว ไม่ใช่แบบโอเวอร์ไซส์แบบทั่วไป
แม้องศาเฟรมมันจะเหมาะมากก็ตาม ตอนนี้ได้ K2 มาเป็นพาหนะใหม่
ใช้ไปทำงานมาแทนได้เกือบเดือนนึงแล้ว แต่ก็แอบไปสอย Chevrolet
คันใหม่มาไว้แล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้เอาไปไหนไกลๆ รอไว้ดัดแปลงอีกหน่อย

ปกติทุกคืนวันศุกร์ ผมกับโน่จะปั่นไปเล่นที่ ม.เกษตรกันเป็นประจำ
ที่หน้าตึกวิศวกรรมศาสตร์ (ที่มีโมเดลเครื่องบินจอดอยู่นั่นแหละ)
โดยมีเบิ้ม ผู้ดูแล ThTrials.com เวบประจำกลุ่มของพวกเราเป็นเจ้าภาพ
เนื่องจากทำงานอยู่ที่นั่นในคณะมนุษย์ฯ

หลังจากที่ว่างเว้นไปหลายสัปดาห์ เพราะติดภาะกิจอื่น คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
เลยได้มารวมพลกันอีกครั้ง หลังจากฝ่างานเกษตรแฟร์เข้าไปอย่างไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่
เนื่องจากยังเป็นงานวันแรก คนยังไม่หนาแน่นมากนัก ไปถึงพี่ผึ้งก็กำลังคุยนัดแนะกับแบงค์
กลายเป็นว่าคืนนั้นแบงค์จะไม่มา (สงสัยเข็ดที่เคยโดนลากไปท่าน้ำนนท์)
พี่ผึ้งหันมาถามว่าสนใจจะไปเล่น Street Dirt กันมั้ย ผมลังเลนึิดนึงเพราะเพิ่งมาถึีงเหนื่อยๆ
แถมประสบการณ์ที่เคยปั่นเกาะกลุ่มกับพวก Dirt พบว่าพวกนี้ปั่นกันไม่เร็วก็จริง
แต่ลัดเลาะ ขึ้นลงฟุตบาท หรือข้ามอุปสรรคกันเร็วมาก ในขณะที่ผม ถ้าอุปสรรคสูงเกิน 1 ฟุุต
ต้องยกรถข้ามสถานเดียว แต่คิดแล้วก็น่าสนุกถ้าได้ปั่นร่วมกับกลุ่มที่เก่งๆ จะได้ประสบกาณ์ใหม่ๆ ด้วย
สรุปเราเลยตัดสินใจไปสมทบกับกลุ่มของแบงค์ที่บ้านไกด์ย่านพระราม 4

เหล่าเสือภูเขาทั้ง 5 คัน อันประกอบด้วย
พี่ผึ้ง Scott รถสุดไฮโซ เบิ้ม Jamis เปา Trek4300
โน่ Planet X และ K2 ของผม ก็ลัดเลาะจาก ม.เกษตรไปตามพหลโยธิน
ตัดเข้ารัขดาภิเษก ผ่านรัชดาซอย 4 ที่คึกคักตั้งแต่หัวค่ำ
ขึ้นสะพานข้ามคลองแสนแสบอันสุดชันที่อโศก แถมมีทรายทำให้ล้อฟรีด้วย วกเข้าพระราม 4
ที่แยกศูนย์ประชุมสิริกิติ์ แล้วก็เข้าไปในซอยข้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินคลองเตย
ก็เจอกับกลุ่มที่รออยู่ก่อนแล้ว

คืนนี้เลยกลายเป็นการรวมกลุ่มไตรภาคี ระหว่าง ThTrials, Bangkok FreeRide
และ MaxRider จาก 5 คัน กลายเป็น 18 คัน
เนื่องจาก Disc Break รถผมมีปัญหานิดหน่อย
เลยได้อาจารย์เตี้ย กับ แบงค์ ช่วยกันปรับแก้ไขจนเรียบร้อย เราก็พร้อมจะออกเดินทาง

จากที่เคยรวมพลครั้งก่อนที่สวนลุมฯ ทำให้ประทับใจกับเด็กหนุ่มนักกีฬาทีมชาติ
แบงค์กับบอย ไปก่อนหน้า คราวนี้ได้เจอกับ อาจารย์เตี้ย ที่ดูหน้าแล้วเดาอายุไม่ถูก
แต่ผมขอเรียก “อาจารย์” อย่างเต็มใจ กับฝีไม้ลายมือที่พี่ผึ้งบอกว่าโดดได้ถึงยอดไม้ที่สวนรถไฟ
ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง กับลีลาดริฟท์, โดด อย่างสวยงามและปลอดภัย
ส่วนคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ไม่ธรรมดา ส่วนมากกลุ่มนี้จะใช้รถ Dirt Jump สวยๆ กันทั้งนั้น
มีทั้งแบบ Full Suspension และ Hard Tail ส่วนกลุ่มเราก็จะเป็นแนว Trials
มีแต่ K2 ของผมคันเดียวที่แม้จะเป็น Full Suspension เหมือนกัน
แต่มันเป็นรถสำหรับปั่น Cross Country งานนี้เจอคนใช้โช้คหน้า Rock Shox Judy Race
รุ่นเดียวกับเราซะด้วย

เมื่อพร้อมกันแล้ว ทั้ง 18 คันก็ออกเดินทางจากบ้านไกด์ที่พระราม 4
เลี้ยวขวาเลียบทางด่วนไปตาม ถ.ดวงพิทักษ์ เข้าสุขุมวิท ไปสยามแสควร์
คืนนั้นถ้าใครเห็นรถจักรยานกลุ่มใหญ่ปั่นกันตอนดึกๆ ก็นั่นแหละ
ตอนแรกแอบคิดว่าจะโดนมองว่าเป็นแก๊งค์กวนเมืองรึเปล่า แต่เด็กกลุ่มนี้ก็น่ารักพอที่จะพูดขอทาง
ขอบคุณ ขอโทษ กันจนทำให้คลายกังวลไปได้ แถมพวกเราก็ไม่เสียงดังเหมือนมอเตอร์ไซค์
หรือไปพ่นสเปรย์ ทำลายทรัพย์สินให้เป็นข่าวด้วย

เข้าไปวนเล่นในสยามกัน 2-3 รอบ ก็ออกไปหน้ามาบุญครองแล้วเข้าพระราม 1
ข้ามสะพานยศเส เลี้ยวขวาไปโบ๊เบ๊ เข้าหลานหลวง แล้วแวะพักที่ปั๊มน้ำมันหลังอาคารการบินไทย
ดื่มน้ำล้างหน้าล้างตากันนิดหน่อย ก็ออกเดินทางต่อ เจอกับอีกกลุ่มนึงที่แยกผ่านฟ้า
ก็โบกไม้โบกมือทักทายกันสนุกสนาน แล้วก็ไปต่อทางราชดำเนินกลาง แวะเข้าถนนข้าวสาร
ที่คับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งไทยและเทศ แต่ก็พอจะค่อยๆ เคลื่อนไปช้าๆ ได้
ช่วงนี้มีเสียงสวยๆ ทักว่า “เหนื่อยมั้ยคะ” ทำให้รู้สึกเหมือนจะมีแรงปั่นต่อได้ทั้งคืน

ทะลุจากข้าวสารก็เข้าสนามหลวง เจอสาวมะขามรุ่นใหม่ๆ ที่ทำให้ต้องลบภาพว่าจะมีแต่ป้าๆ
สาวแก่ สาวใหญ่ ทุกวันนี้สนามหลวงมีแต่สาววัยรุ่นหน้าตาดี แต่งตัวเซ็กซี่มาเดินเล่นแทนแล้ว
ไม่ว่าสังคมไหนก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยจริงๆ แฮะ
แต่ที่สวนสราญรมย์ก็ยังเป็นแหล่งของเด็กหนุ่มหล่อล่ำหน้าตาดีเหมือนเดิม
ถือว่าเป็น Unseen in Bangkok ไปก็แล้วกัน มีเสียงร่ำลือว่าจะนับรวมหาบส้มตำย่านหัวลำโพง
ด้วยก็ได้ 😛

จากเจริญกรุงเราก็เลี้ยวเข้า ถ.ตรีเพชร ไปสะพานพุทธฯ ได้ลองปั่นลงบันไดข้างพระบรมรูป ร.1
แล้วก็หยุดพักที่ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์นั่นเอง ตรงนี้มีเด็กเล่นสเก็ตบอร์ดกันอยู่ด้วย
โน่เลยไปรำลึกความหลังกับสเก็ต โดดโชว์พอให้น้องๆ ฮือฮาเล่น
อาจารย์เตี้ยกับชาว MaxRider ก็เล่นยกหน้า ยกหลัง ดริฟท์กันเป็นที่สนุกสนาน
เบิ้มกับแบงค์ก็โดดกันพอได้เหงื่อ สไลด์กันไฟแลบ

หายเหนื่อยเราก็เคลื่อนพลทะลุสำเพ็ง เข้า ถ.อนุวงศ์, ทรงวาด ผ่านโรงแรมริเวอร์ซิติี้
ตรงนี้ลมเย็นแล้วก็เงียบมาก แล้วลัดออกสี่พระยา, สุรวงศ์ โฉบเข้าพัฒน์พงษ์ สีลม วกกลับตรงธนิยะ
ทำให้เห็นว่าชีวิตหลังเที่ยงคืนแถวนี้ก็ยังคึกคักปกติดี สมเป็นคืนวันศุกร์

จากนั้นออกพระราม 4 อีกครั้งมุ่งไปสวนลุมพินี
พอถึงแยกหน้าสวนลุมฯ ก็ตี 1 กว่าแล้ว เราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
กลุ่ม 5 คันเดิมของเราก็ปั่นกลับทางราชดำริ ผ่านประตูน้ำ
แล้วก็แยกกับกลุ่มพี่ผึ้งอีกครั้งที่สามเหลี่ยมดินแดง
พี่ผึ้ง, เบิ้ม กับเปา ก็กลับเส้นวิภาวดี ไปรัชโยธิน กับพงษ์เพชรตามลำดับ
ผมกับโน่ก็เลี้ยวซ้ายไปทางอนุสาวรีย์ชัยฯ กลับบ้านทางเส้นพหลโยธินตามปกติ

สรุปคืนนั้นปั่นไป 7 ชม. ประมาณ 50 กม. ทำลายสถิติทั้งระยะทางและเวลาจากที่เคยปั่น
กัน 6 ชม. เมื่ออาทิตย์ก่อน แต่เป็นตอนกลางวัน (ไปลาดพร้าว 101 แล้วย้อนไปสวนลุมฯ)
ถึงบ้านตี 2 ทั้งเมื่อยทั้งเหนื่อย ดีที่ได้เบียร์เย็นๆ ช่วยพาอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อให้ได้มากกว่าปกติ
ตามสูตรที่ได้รับการแนะนำจากนักกีฬาทีมชาติเชียวนะ แค่นี้ก็นอนสบายไม่ปวดขาแล้ว…

มีภาพให้ดูนิดหน่อยที่บอร์ดของ ThTrials ครับ เสียดายทริปนี้รูปน้อยเพราะไม่ได้แบกกล้องไปด้วย
ไว้จะหากล้องคอมแพ็คเล็กๆ ซักตัว จะได้พกง่ายๆ หน่อย ถ้าเอาน้องออยสามลี้ (E-300) ไปด้วย
มันก็จะโดดไม่ไหวน่ะสิ…

เส้นทางที่ใช้
Bike Way

The King of Movie Trailers

ดูหนังมาเป็นสิบๆ ปี เคยแอบสงสัยนิดหน่อยเกี่ยวหนังตัวอย่างที่ฉายในโรงหนัง
ซึ่งมี 2 แบบ คือ teaser กับ trailer
ทีเซอร์ คือแบบเรียกน้ำย่อย แค่ให้รู้ว่าจะมีหนังเรื่องนี้มาฉาย ตัวอย่างแคลสสิคที่ผมยกบ่อยๆ
ถ้าใครยังพอจำได้ ก็คืออันที่เป็นโลโก้รูปคล้ายๆ นกปีกยาวๆ ลอยมาประกบกับโลโก้รูปค้างคาว ปึ้ง! กลางจอ
แล้วก็มีตัวหนังสือ Summer 1997 (ประมาณนี้แหละ) เราก็รู้แล้วว่า Batman and Robin จะมาแล้ว
ส่วน เทรลเลอร์ คือตัวอย่างหนังที่บอกให้เรารู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในหนังมากขึ้นอีกหน่อย ว่าใคร ทำอะไร
เรียกว่า มี story line ให้รู้บ้างว่าเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร

ถ้าสังเกต (ฟัง) ดีๆ จะรู้สึกว่าเสียงผู้บรรยายมันคุ้นมาก มันเป็นเสียงเดิมๆ ทุ้มๆ ใหญ่ๆ มีพลัง
แต่ก็ไม่เคยคิดจะหาข้อมูลเลย มัวแต่ปลื้มกับหนัง คุ้นๆ ว่ามีกระทู้ในพันทิปพูดถึงอยู่บ้าง นานๆ ที
วันนี้แวะไปที่เวบ Popcorn Magazine หนึ่งในแหล่งข้อมูลหนังในดวงใจที่ทำให้เลิกซื้อหนังสือไปหลายเล่ม
รวมทั้งเวบพันธมิตรที่แปะหัวไว้ด้วยกันคือ เจไดยุทธ กับ เด็กหนัง
(เวบเค้ามี license แบบ creative commons เหมือนกันเลยช่วยเอามากระจายต่อซะเลย)

ทำให้รู้ว่า Mr.Voice คนนี้ก็คือ ดอน ลาฟอนเทน ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมาแล้วกว่า 40 ปี
จนเสียงเค้าแทบจะล้างสมองนักดูหนังทั้งโลกไปแล้วมั้ง จริงๆ ก็ยังมีคนให้เสียงบรรยายอีกหลายคนนะ
แต่คนนี้จะดังที่สุด มีผลงานเยอะสุด ว่างั้นเถอะ

ที่มา: รู้จักกับเจ้าของเสียงในตัวอย่างหนังฮอลลีวู้ดกัน โดยคุณ Yuttipung

YouFest : YouMedia งานของคุณ : สื่อของคุณ

ไปมาตั้งแต่วันเสาร์เพิ่งจะว่างมาเขียนถึง คนที่ไม่ได้ไปดูรายละเอียดของงานนี้ได้เลยครับ
เดินทางไปถึงตึกไทยซัมมิทเกือบบ่ายโมง ถ้าไม่เคยมาเมื่อตอนทำ workshop Tapestry กับ พี่ป๊อก
ที่จัดโดย NJUG (Narisa Java User Group) ก่อนหน้านี้
คงหลงทางเหมือนคุณ bact’ เพราะครั้งแรกที่มาก็หาทางขึ้นลิฟท์ไม่เจอเหมือนกัน
ถึงที่ลงทะเบียน ยังมีคนไม่ค่อยเยอะ ตอนแรกนึกว่างานรวมพลคนใช้แม็คอินทอช
ได้ยินเสียงแซวจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามว่างานนี้แม็คชนะ เพราะกว่าครึ่งเป็นชาวแม็คหมดเลย
ยกเครื่องมาเปิดข่มกันเห็นๆ ทั้ง iBook, MacBook, MacBookPro

รายละเอียดติดตามจากบล็อกของคนอื่นๆ ที่เค้าเขียนกันเสร็จตั้งแต่ปีมะโว้แล้วจะดีกว่า
งานนี้ได้เจอตัวเป็นๆ ของคนที่รู้จักในเน็ตหลายคน คนที่อ่านบล็อกเค้าอย่างสม่ำเสมอ
บางคนก็เป็นเพื่อนของเพื่อนเรานี่เอง บางคนก็เป็นพี่ๆ น้องๆ ที่รู้จักกันห่างๆ
หรือไม่ก็ญาติเพื่อน ซึ่งกลายเป็นว่าโลกออนไลน์กับออฟไลน์มันก็ไม่ได้ไกลกันอย่างที่คิด
บางทีโลกออนไลน์อาจจะแคบกว่าที่คิดด้วยซ้ำ ผมจำไม่ได้ว่าในงานมีใครคนนึงบอกว่า
เนี่ย..ทั้งห้องที่มากัน 20-30 คนนี่แหละ คือคนที่รู้จักในเน็ตทั้งหมดของเค้า
ทำให้รู้สึกว่าจริงๆ มันก็มีแค่นี้ ไม่ได้เยอะแยะอะไร

คนในงานส่วนมากจะเป็นสมาชิก blognone ทำให้คุ้นชื่อกันอยู่แล้ว
ได้คุยกับ ต่าย ปฏิญญา เสงี่ยมจิตร์ โปรแกรมเมอร์ของ exteen เลยถือโอกาสขอให้เพิ่มลิงก์นิดนึง
รู้สึกว่าแชมป์ ผู้ก่อตั้งอีกคน จะกลับก่อน เลยไม่ทันได้ทัก
ใกล้เลิกก็เดินไปหา ฮั้นท์ ศิระ สัจจินานนท์ เพื่อบอกว่า ชอบ zickr! ของเค้ามาก
ฮั้นท์เคยทำ DiraryHub และ Thaidiarist เดี๋ยวนี้นอกจาก zickr! ก็ทำ Diraryis ด้วย
มีคนอื่นๆ อีกเยอะมาก ประทับใจไปหมด บรรยายไม่ไหว ไปอ่านจาก ประวัติย่อผู้ร่วมเสวนา ก็แล้วกัน

ท้ายงานมีการเล่น blog tag กันอีกครั้ง (เคยเล่นไปแล้ว) แต่คราวนี้เป็นแบบออฟไลน์
โดยเขียนใส่ post-it ไปแปะกันตรงๆ เลย งานนี้ผมก็เลยแปะไปที่…

อ.จันทวรรณ น้อยวัน แห่ง GotoKnow.org ที่แอบชื่นชมมานานแล้ว ตั้งแต่รู้จักเวบนี้
อ.ธวัชชัย ปิยะวัฒน์ จาก GotoKnow เหมือนกัน อาจารย์พูดเรื่องหิ้งพระในห้องประชุมกลางงาน
ทำเอาผมประทับใจหงายหลัง ทั้งสองท่านอุตส่าห์มาไกลจาก ม.สงขลานครินทร์เชียวแหละ
คุณป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ จาก tarad.com กับ ThaiSecondHand.com ที่เห็นหน้ากันบ่อยๆ
เพราะทำงานตึกเดียวกัน แต่ไม่เคยได้ทัก แถมตามงานสัมมนาก็เจอกันเกือบทุกที่
คุณอาท อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ก็คุณ bact’ นั่นแหละ อ่านบล็อกอยู่เป็นประจำ ได้รู้จักกันซะที
รู้สึกถูกชะตา เลย tag ซะ (จริงๆ อยากจะ hug)
น้องนิ้ว อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา จากประชาไท คนนี้ลงชื่อเจอกันอยู่เรื่อย ไม่ว่าจะเป็นจดหมายเปิดผนึกถึง รมว.ไอซีที
หรือ คำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้รัฐยุติการปิดกั้นเนื้อหาในอินเทอร์เน็ต

ส่วนที่ tag มาหาผมก็มี
mk (ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเรื่อง akismet ด้วยนะครับ)
คุณปกป้อง พงศาสนองกุล (ทุกคนฝากขอบคุณกับการแนะนำเวบ …tube.com แบบแกล้งไม่จงใจด้วยครับ
ใครอยากรู้ดูในสไลด์หรือจะเมล์มาถามก็ได้)
คุณแอน จุฬาวรรณ สุทธิมาศ จาก tjanews.org น้องที่นั่งติดกันตลอดงาน
แล้วก็ อ.จันทวรรณ กับ น้องนิ้ว ที่แลก tag กัน

เลิกงานกลับบ้าน ไอเดียกระฉูด หัวใจพองโต ตอนหลังเพิ่งมารู้ว่าพลาดงาน Thailand Blogger Meeting 2007
ที่บ้านไร่กาแฟเอกมัย แต่ไม่เป็นไร ดูสรุปกับบรรยากาศที่บล็อกคุณเก่งแทนก็ได้

ปล.entry นี้ทำลิงก์เยอะมาก ใครอยากรู้จักอะไรดีๆ ก็คลิกตามไปเลยนะ

Three Hundred

300

ตามสัญญาว่าจะมาเขียนถึงอีกเล่มที่ได้มาพร้อม Star Wars: Panel to Panel
ถ้าคนที่ดูหนังบ่อยหน่อยคงคุ้นกับชื่อเรื่องกับรูปแบบตัวหนังสือแบบนี้
เพราะหนังที่กำลังจะเข้าฉายเดือนมีนาคมสร้างจากการ์ตูนเล่มนี้แหละ
แถมสร้างแบบเหมือนเปี๊ยบ เรียกว่าเอาภาพจากการ์ตูนไปทำ story board เลย

ซึ่งเทคนิคนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเพิ่งผ่านตาไปหยกๆ กับ Sin City
ซึ่งสร้างจากการ์ตูน ไม่ใช่สิ นิยายภาพของ Frank Miller เหมือนกันอีกต่างหาก
ชื่อเสียงของ Frank Miller เลยเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่แฟนคอมมิคจะรู้ว่าแฟรงค์ดังมานานแล้ว
แต่ที่ดังมากก่อนหน้า Sin City ก็น่าจะเป็นการปลุกชีพ Batman จากช่วงซบเซา
ให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งใน The Dark Knight Returns (ภาคนี้เรื่อง+ภาพเจ๋งมาก)

300 เป็นเรื่องของนักรบสปาร์ตัน 300 คนที่สู้กับกองทัพเปอร์เซียอันเกรียงไกรนับล้านคนที่จะมาบุกกรีซ
เรียกว่าเป็นศึกในตำนานก็ว่าได้ ในหนัง The Last Samurai ก็มีพูดถึงด้วยนะ
(เอากลับมาดูหลังดู Blood Diamond เพราะ ผกก.คนเดียวกัน)

เห็น เทรลเลอร์ 300 แล้วน่าดูมากๆ เลยตั้งใจว่าจะเก็บเล่มนี้ไว้อ่านหลังดูหนังดีกว่า
ถ้าหนังออกมาดีเหมือนในเทรลเลอร์ จะลุ้นให้ผกก.แซ็ค ชไนเดอร์ได้กำกับ Watchmen
ให้สมใจทั้งคนรอดูและคนอยากทำเลย

ใครไม่รู้จัก Watchmen แล้วขี้เกียจไปอ่านใน wikipedia แนะนำบล็อกของคุณ yerrman ที่ exteen ครับ
ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับหนัง 300 แบบภาษาไทย เชิญที่เวบคุณ Jediyuth โลด…

Update! อดใจไม่ไหว อ่านจบเล่มไปแล้ว T_T
เอาน่ะ มีคนอีกตั้งเยอะที่ต้องเคยอ่านแล้วเหมือนกัน ยังไงถ้าหนังจะสนุกมันก็ต้องสนุกแหละ…