ละอาย?

วันนี้ปั่นจักรยานมาทำงานตามปกติ
ช่วงเข็นรถลงจากสะพานลอย พอถึงพื้นก็ยกขาขึ้นคร่อมเตรียมปั่นต่อ
แป้ก!!!
เสียงมาพร้อมความเย็นวาบเข้าไปที่ต้นขาด้านใน

ถูกครับ…กางเกงทำงานขาดตามแนวตะเข็บใต้ซิปหน้ายาวไปถึงครึ่งหลัง
จากเสียงทำให้วิเคราะห์ได้ว่ามันขาดทีเดียวทั้งแนว คงเพราะด้ายที่เย็บตะเข็บ
มีความเครียดเต็มที่จากแรงดึงในจังหวะยืดตัว
เพิ่งใส่มาได้ไม่ถึงปีเลย โธ่…
My Pants
ดีที่ยังมีน้องที่ทำงานเดียวกันอยู่ใกล้บ้าน เลยให้ช่วยเอากางเกงตัวใหม่ไปให้ที่ออฟฟิศ
ส่วนผมก็ปั่นไปทั้งยังงั้นแหละ
ช่วงที่ผ่านย่านมนุษย์เงินเดือนหนาแน่นแถวซอยสายลมถึงซอยอารีย์นี่
ต้องปั่นแบบหนีบๆ ขาหน่อย ช่วงติดไฟแดงก็ต้องยืนคร่อมรถไว้
จะนั่งจุ๊ยอยู่บนอานอย่างเดิมก็ไม่ได้ บางจังหวะต้องทำฟอร์มยืนโยกด้วย สุดยอด
เมื่อยมาก แต่ก็มาถึงออฟฟิศอย่างปลอดภัย แถมได้ทักษะหน้าด้านเพิ่มขึ้นอีกหลายขั้น
เอามาเขียนเล่าแบบนี้แล้วก็ให้รู้สึกละอายจริงๆ…(ละแล้วซึ่งความอายทั้งปวง)

มองในแง่ดี กำลังจะได้มีกางเกงใส่มาทำงานใหม่เพิ่มอีก 1 ตัว 🙂
ปล.พี่ป็อกเคยเจอเหตุการณ์แบบผมมั้ยครับ

จดหมายเก่า

อาทิตย์ที่ผ่านมามีการย้ายข้าวของนิดหน่อย เลยไปเจอกระเป๋าที่เก็บจดหมายเก่า
สมัยหนุ่มๆ ที่เขียนคุยกับบรรดา pen friend ทั้งหลาย ฉบับเก่าสุดมีอายุตั้ง 12 ปี!

คิดว่าสมัยเรียนทุกคนก็น่าจะมี เพื่อนต่างโรงเรียนที่ครูให้เขียนจดหมายถึง
ประมาณ คุณเลขที่… โรงเรียน/วิทยาลัย….อำเภอ…. จังหวัด…..
บางคนโชคร้ายหน่อย จดหมายที่ส่งไปไม่มีผู้รับ เพราะบางห้องคนมันไม่เท่ากัน
พวกเลขที่ท้ายๆ เลยไม่มีเพื่อน ถ้าเป็นห้องผม หัวหน้าห้องก็รับผิดชอบไป
ตอนนั้นมันก็ตื่นเต้นดี สุดท้ายก็เหลือไม่กี่คนที่ยังคบกันอยู่ บางคนยังไม่เคยเห็นหน้ากันด้วยซ้ำ

แต่กรณีผมไม่ใช่เพ็นเฟรนด์แบบนั้นหรอกครับ ส่วนมากจะเป็นเพื่อนที่ได้เจอกันตามงานกิจกรรม
ตอนวัยรุ่นโชคดีมักจะได้ไปนู่นไปนี่ ยิ่งชอบเที่ยวอยู่แล้ว ทางบ้านก็ไม่ขัดข้อง
มีอะไรที่ไหนก็ไปกะเค้าหมด ได้รู้จักคนเยอะเลย

แปลกดีที่เวลาเอาจดหมายมาอ่านมันยังรู้สึกดีมากๆ เรียกว่าเข้าโหมดระลึกชาติกันเลยแหละ
บางอันเป็น ส.ค.ส.ที่รุ่นน้องให้ตอนปีใหม่ วันเกิด อ่านแล้วก็ยิ้ม น้ำตาจะไหลก็มี (โอเวอร์เชียว)
จดหมายมันดีตรงที่ได้เห็นลายมือ รูปวาด ลูกเล่นต่างๆ ที่แต่ละคนพยายามทำให้กัน
ไม่ว่าจะเป็นการใช้หมึกสลับสี หรือมุกเชยๆ แบบเผาขอบกระดาษให้มันไหม้ๆ
กระดาษกับซองสวยๆ เนื้อหาเหตุการณ์ก็เป็นไปตามยุคสมัย
บางฉบับอาจเอาไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ได้เชียวนะนั่น

มองเห็นภาพตัวเองนั่งเขียนจดหมายตอบทีละประโยค แบบว่าอ่านไปตอบไป
เขียนเสร็จ พับใส่ซอง บึ่งไปที่ทำการไปรษณีย์ส่งตอบกลับทาง EMS ซะด้วยนะ ลงทุนน่าดู
มองตัวเองตอนนี้ ไม่เคยเขียนจดหมายมาเป็นปีๆ แล้ว ใช้แต่ IM อีเมล มือถือ
นานๆ ก็มีโปสการ์ดบ้างเวลาไปเที่ยวไหนๆ (หลังๆ จะพยายามทำโปสการ์ดเองดูบ้าง)
บางทีรู้สึกมันแห้งแล้งไปหน่อย ลองหันกลับมาใช้วิธีคลาสสิคกันอีกหนก็น่าสนุกดี
เดี๋ยวว่าจะเริ่มเขียนหาเพื่อนเก่าๆ ซะหน่อย มาเขียนด้วยกันมั้ยครับ…

ปล.ปัญหาแรกคือการหาที่อยู่ของเพื่อนบางคนนี่แหละ เดี๋ยวนี้ยังอยู่บ้านเดิมกันรึเปล่าก็ไม่รู้

ครั้งแรกที่เขาอีโต้

ขอโม้เรื่องจักรยานอีกซักที เพราะเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ
ช่วงหยุดยาวสามวัน พี่ผึ้งชวนไปปั่นครอสที่ “มักกะห์ของวงการจักรยาน” เขาอีโต้ ปราจีนบุรี
ผมตกลงทันที เพราะได้ยินชื่อเสียงมานาน (อีกที่นึงในคิวก็คือ เขาสามหลั่น สระบุรี)
นัดกันวันอาทิตย์ 8:30 น.ที่ปั๊ม ปตท.หน้าเมเจอร์รัชโยธิน

ออกจากบ้านแปดโมง ปั่นไปถึงก่อนเวลานิดหน่อย พี่ผึ้งก็ขับรถออกมาพอดี
ถอดล้อหน้า เอาใส่รถ ล็อคกับแร็คแน่นหนาแล้วก็ไปบ้านพี่อู๊ด ที่ลาดพร้าว 62
ไปถึงบ้านพี่อู๊ด อดีตนักปั่น BMX ที่หันมาเอาดีทางเสือภูเขา กำลังอัดจักรยาน 3 คัน
ใส่ท้ายรถอยู่พอดี ผมกับพี่ผึ้งก็เลยหาของกินนั่งรอไปพลางๆ ก่อน
สิบโมงก็ออกจากกรุงเทพ มุ่งหน้าสู่ปราจีนบุรี โดยออกไปทางสุขาภิบาล 3
ผ่านฉะเชิงเทรา ขับไปเรื่อยๆ ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง

สภาพอากาศร้อนอย่างวายร้าย แต่เราก็พร้อม เตรียมอุปกรณ์กันมาเต็มที่
ทั้งปลอกแขน สนับแข้ง ถุงมือ หมวกกันน็อค แว่นกันแดด กระบอกน้ำ
รู้สึกอิจฉาพวกพี่ๆ เค้านิดนึงที่ใช้เป้น้ำ จุได้ตั้ง 2-3 ลิตร ผมมีแค่กระบอกน้ำ 700 มล.
ซึ่งเดี๋ยวจะได้ทราบพิษสงของแสงแดดและความร้อนในอีกไม่นาน

ก่อนจะปั่น เราก็ไปทักทายอาจารย์นิพนธ์ ที่เปิดสอนปั่นจักรยานอยู่ปลายเขื่อน
รวมทั้งดูแลต้นน้ำ ป่าไม้ เส้นทางปั่นทุกอย่าง ที่พักก็เป็นเหมือนอู่ซ่อมจักรยานกลายๆ
มีสปอนเซอร์หลายบริษัทมาติดแผ่นป้ายผ้าโฆษณาอยู่ประปราย
เพราะที่นี่ก็เป็นสนามแข่งด้วย ได้เจอตัวอาจารย์แล้วอยากให้รายการคนค้นคนมารู้จักนักเชียว

พี่อู๊ดพาน้องไบค์ลูกชายวัยซน ไปปั่นเล่นในแทร็คสั้นๆ ผมถือโอกาสปั่นตามไป
เพื่อวอร์มอัพ ได้ฟังพี่อู๊ดสอนเจ้าไบค์ก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย พอเหงื่อซึมๆ
ก็วนกลับมา น้องไบค์กับแม่รอยู่ที่พักด้านล่าง สามเสือที่เหลือก็เตรียมไปมันส์กันต่อ

เราให้พี่ผึ้งเป็นคนนำทางเพราะมาบ่อยสุด แต่พี่แกเว้นไปนานเกือบปี ก็เลยมีเหวอกันนิดหน่อย
ถือว่าไปปั่นเล่นนอกเส้นทางบ้าง อาศัยถามทางชาวบ้านแถวนั้นเอา
พักเหนื่อยจุดแรกถ่ายไว้ซะหน่อย

ปั่นวนมาจนถึงน้ำตกเขาอีโต้ ที่มีแค่แอ่งน้ำขัง เพราะแล้งมาก เราแวะพักที่เพิงขายของ
สั่งเป๊ปซี่ 1.25 ลิตร พร้อมน้ำแข็งหนึ่งกระติกมาเพิ่มกลูโคสกันทันที
นั่งพักสักครู่ ก็ออกเดินทางต่อ คราวนี้แหละของจริง…

เส้นทางขึ้นสลับลง บางช่วงเป็นทางที่พอจะมีรถขับลุยเข้ามาได้บ้าง
บางช่วงก็เป็นแค่ทางเดินป่า ที่เรียกว่า single track คือมันปั่นได้ทีละคันเรียงกันไป
คราวนี้ได้ใช้เทคนิคทุกอย่างที่ปั่น เล่น ซ้อม ฝึก ฟัง อ่านผ่านหูผ่านตามาตลอด
ทักษะโดดขึ้นลงฟุตบาทที่เล่นอยู่ในกรุงเทพนี่เป็นพื้นฐานเลยจริงๆ
สมาธิต้องมั่นคงมาก ได้เปลี่ยนเกียร์จนคล่องก็คราวนี้เอง

พี่ๆ ทั้งสองก็ช่วยแนะนำเทคนิคไปด้วยระหว่างพัก เช่นมองทางล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวเปลี่ยนเกียร์
หรือการวางตำแหน่งบันไดรถเวลาปั่นผ่านซอกหิน โน้มตัวไปข้างหน้าเวลาปั่นขึ้นเขา
รักษารอบขาให้คงที่ ทางขึ้นก็อย่ามองไกลมากเพราะจะท้อซะก่อน ก้มหน้าก้มตาปั่นไป
ช่วงขึ้นแรกๆ ยังพอไหว พอนานๆ เข้าเริ่มหมดแรง ก็ใช้เกียร์ต่ำสุดตลอดคือ 1:1
หมายถึงใช้จานหน้าเล็กสุด จานหลังใหญ่สุด (ผมหลงปั่นจานสองมาตั้งนาน เหนื่อยแทบตาย T_T)

ในที่สุดก็ถึงจุดที่ตั้งใจ ถึงจะยังไม่ใช่จุดสูงสุดของเขาอีโต้ แต่ก็พอใจแล้วครับ
ถ้าต้องไปต่อบนทางชันล้วนๆ อีก 2.5 กม. คงตายแน่ๆ ถึงจะเป็นทางราดยางก็เถอะ
พี่ทั้งสองยืนยันอย่างนั้น “ปล่อยให้พวก downhill เค้าขึ้นรถไปทิ้งดิ่งกันเถอะ”
ไว้ถ้ามีรถ downhill ดีๆ ซักคันจะไปลองบ้าง ว่าแล้วก็ชักรูปกันแถวนี้ไปก่อน
สามเสือพี่อู๊ด
คนบ้าพี่ผึ้ง

หลังจากนั้นขึ้นต่ออีกนิดเดียวก็เป็นเส้นทางลง มันส์มากๆ แต่ก็เปลี่ยนจากปวดขา
มาเป็นปวดแขนแทน (จริงๆ ก็ระบมไปทั้งตัวนั่นแหละ)
เพราะต้องคอยเลี้ยงเบรค แล้วก็บังคับแฮนด์ ทรงตัว ประคองรถให้อยู่ในเส้นทางที่ดิ่งลง
จะเลียเบรคตลอดก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้ใบดิสค์ร้อนมาก แล้วมันจะเบรคไม่อยู่

บางช่วงก็เป็นลำธารแห้งที่มีแต่หิน หรือไม่ก็ชันเกิน จนเราก็ต้องเข็นข้ามไปบ้าง
พี่อู๊ดสุดยอดมาก โชว์สเต็ปเทพ ดิ่งลงฉลุยจนพี่ผึ้งยังออกปากชม
“ลงโคตรเก่งเลย รถไม่มีโช้คหลังเหมือนพวกเราแท้ๆ”

ตอนนี้เหนื่อยมากจริงๆ นั่งนานหน่อยพอลุกขึ้นยืนก็จะหน้ามืด
น้ำก็หมดแล้ว ต้องขอแบ่งจากเป้น้ำพี่ผึ้งมาช่วย ร่างกายร้อนมากจนรู้สึกเหมือนมัน
จะเผาเหงื่อที่ชุ่มเสื้อผ้าจนไอน้ำระเหยขึ้นมาได้ จังหวะที่ต้องเข็นยาวๆ นี่แทบจะเป็นลม
เส้นทางลงเขา
“กูจะตายแล้ววววววว…” พี่ผึ้งให้เสียงประกอบแอ็คชั่น โดยมีพี่อู๊ดยืนชี้สภาพบุคคล

สามชั่วโมงผ่านไป ตั้งแต่บ่ายโมง ถึงสี่โมงเย็น พี่ผึ้งบอกระยะทางจากไมล์ดิจิทัลให้ชื่นใจว่า 25 กม. เอื๊อกกกกส์…(-_-“)
เราลงเขามาโดยสวัสดิภาพ และมีอาหารเย็นเตรียมไว้รอท่าอย่างดี แต่ผมขอซัดเป็ปซี่ก่อนเลย
แล้วค่อยไปอาบน้ำ เพื่อกลับมานั่งทานข้าวริมทะเลสาป ลมพัดเย็นสบาย เลยคุยกันว่าน่าจะมากางเต๊นท์นอนซักที
พลังงานทดแทน

สรุปว่านี่เป็นทริปแรกที่ได้ปั่นเสือภูเขาบนทางเดินป่าในภูเขาจริงๆ ทำให้ได้สัมผัสถึงความรู้สึกเก่าๆ
ที่เกือบลืมไปแล้วสมัยที่ต้องเดินป่าตอนวัยรุ่น นั่นคือ “เหนื่อยแทบขาดใจ!!!”
ก่อนกลับไปยืนดูน้องๆ ลูกศิษย์อาจารย์นิพนธ์ฝึกซ้อม เห็นแล้วรู้สึกทึ่งปนอิจฉาที่ได้มีโอกาสปั่นทุกวัน
แถมมีครูฝึกสอนชั้นดี ที่ถ่ายทอดเทคนิค และประสบการณ์ให้อย่างเต็มที่
ได้ยินว่าจะพาไปแข่งที่สุราษฎร์ฯ เร็วๆ นี้ด้วย

วันเสาร์สิ้นเดือนนี้จะกลับไปพิชิตอีกครั้ง พร้อมเป้น้ำ 3 ลิตรที่กลับถึงกรุงเทพก็ไปซื้อมาใช้ทันที
(ขอบคุณ SuperSport ที่ลดราคาให้จนต้องรีบตะครุบ) ตลอดเดือนนี้จะฟิตซ้อมร่างกายไว้ให้พร้อมเลยทีเดียวเชียว…ฮึ่ม…

Night Trip Vol.4 ชื่อนั้นสำคัญฉะนี้

เห็นพี่ป็อกอดใจไม่ไหว จนต้องออกไปปั่นบ้าง เลยมาเขียนยั่วอีก
ช่วงนี้เลยแทบจะมีแต่เรื่องจักรยาน อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ

คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาเบิ้มกลับเชียงราย เราเลยไม่มีเจ้าภาพที่หน้าตึกวิศวะ ม.เกษตร
เลยเปลี่ยนไปนัดเจอกันที่เมเจอร์รัชโยธินแทน
คราวนี้ใช้บริการ K2 attack 4.0 รถ cross country คันเก่ง
พร้อมกับโน่ที่ได้เฟรมใหม่มาสดๆ ร้อนๆ จากเฟรม Planet X สีดำ
กลายมาเป็น Mountain Cycle สีเขียวครีมแทน คงได้โดดสะใจแน่

พี่ผึ้งตามมาสมทบด้วยรถ cross country เหมือนกัน
“คันนี้ไม่ค่อยได้เอามาปั่น” พี่ผึ้งบอกถึงสาเหตุที่ไม่เอา Scott รังนกคันเก่ามา
เราเลยได้เห็น Jamis XC Expert เป็นรถฟูลซัสเพ็นชั่น โช้คหน้าหลังของ Fox ทั้งคู่
เพราะ Scott พี่เค้าเป็นรถโดด ดัดแปลงเกียร์เป็น single speed
(คำเรียกหรูๆ ของรถที่ไม่มีชุดเฟืองหลัง หรือบางคนมีแต่ก็ทำให้มันเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้ซะ)
ถ้าจะเอามาปั่นไกลๆ กันแบบนี้คงเหนื่อยแย่

เราตกลงไปสมทบกับกลุ่มของบอย ที่สะพานพระราม 8 แหล่งประจำ
ออกจากรัชโยธินก็ตัดเข้าวิภาวดี ทะลุไปทางกำแพงเพชร 2 ผ่านหมอชิต
คืนนี้หมอชิตค่อนข้างพลุกพล่านไปทั้งรถทั้งคน คงเพราะหยุดยาว คนกลับบ้านกันเยอะ
ปั่นไปจนทะลุออกประดิพัทธ์ เราก็เลี้ยวไปตามถนนสามเสนเลียบแม่น้ำ ผ่านเทเวศน์
ไปจนถึงพระราม 8 แล้วก็ข้ามไปใต้สะพานฝั่งธนบุรี

ไปถึงก็พบบอยกำลังปะยางรถคันนึงอยู่ เป็นภาพพจน์ประจำตัวของทีมชาติขาโหดคนนี้ไปแล้ว
หมอจะเอารถชาวบ้้านมาปั่นมาโดด จนรถเค้าต้องมีอันเป็นไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ผมเลยเรียกเค้าว่า “บอย เดอะเดสทรอยเยอร์” แต่สบายใจได้ เพราะถึงจะมีอะไรบุบสลาย
เดี๋ยวบอยก็จัดการซ่อมแซมให้ด้วยความชำนาญ ส่วนมากก็คือยางแตกตอนโดดนี่แหละ

นั่งพักกันสักครู่ ดูรถคนนู้นคนนี้กระตุ้นต่อมกิเลสไปได้ซักพัก สมาชิกเริ่มหนาตาขึ้นแล้ว
คุณตำรวจ(ส์)ก็เริ่มมาดูแล เป็นสัญญาณว่าใกล้สี่ทุ่ม เราต้องออกจากบริเวณใต้สะพาน
เพราะได้เวลาปิด บอยปะยางและทดสอบรถเรียบร้อย ขอบคุณพี่ตำรวจเสร็จ เราก็ออกปั่นกัน

คราวนี้ไม่สามารถทำแผนที่ประกอบได้ เพราะเจ้าถิ่นฝั่งธนทั้งหลายพาซอกแซกมาก
เข้าไปตามทางเดินเล็กๆ ทางสะพานชุมชนริมน้ำอันน่าหวาดเสียวกว่าคราวที่ปั่นข้าม
สะพานพระราม 6 เสียอีก เพราะทางแคบกว่า แล้วก็ไม่มีราวกั้นเลย
รู้สึกดีใจชะมัดที่ติดไฟหน้าไฟหลังมาด้วย

เลาะไปเลาะมาได้พักใหญ่ ออกมาทะลุใต้สะพานข้ามคลองบางกอกน้อยก็ได้เรื่อง
น้องตี๋ สมาชิกรุ่นเยาว์คนนึงไม่รู้ไปพลาดอีท่าไหน เห็นอีกทีก็หน้าแข้งขวาแหวกเป็นทางยาว
ประมาณซัก 6 นิ้วได้ พอเห็นแผลและเลือด รู้สึกโล่งใจอีกที ที่ตัวเองใส่สนับแข้งมาทุกครั้ง
ก็ปฐมพยาบาลห้ามเลือดกันก่อน เลยสละผ้าเช็ดหน้าให้ไปชุบน้ำปิดแผลไว้ก่อนที่จะเรียกแท็กซี่
ให้ไปส่งที่ศิริราชเพื่อเย็บแผล แล้วเราก็ปั่นข้ามสะพานไปรอที่โรงพยาบาล
โดยบอยรับอาสาควบสองคัน ปั่นรถตัวเองพร้อมจูงรถคนเจ็บไปด้วย

มาถึงโรงพยาบาลพวกเราก็นั่งรอนั่งคุยวิเคราะห์สาเหตุกันไป จากประสบการณ์ส่วนใหญ่
ก็เห็นพ้องกันว่าคงเพราะจังหวะโดด แล้วเท้าหลุดจากบันไดรถ แล้วก็โดดบันไดรูดเอา
ซึ่งเคยเป็นกันทุกคน สังเกตจากหน้าแข้งของนักปั่นทั่วไปได้
ตอนมาถึงเราก็ส่งตัวแทนไปดูอาการตี๋ในห้องฉุกเฉิน ตอนนี้เองที่เราสำนึกกันได้ว่า
“เฮ้ย ตี๋มันชื่อจริงว่าอะไรวะ” ปรากฏว่าไม่มีใครรู้ กลายเป็นว่าไม่รู้ตอนนี้ตี๋อยู่ไหน!!!

นี่เองที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่า ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของกันและกันเลยซักคน แม้กระทั่งบอยที่ทุกคนรู้จัก
เหมือนเป็นศูนย์กลางของคนที่มาปั่นด้วยกัน (เพราะบอยมันรู้จักเค้าไปทั่ว)
ยืนงงกันอยู่พักนึง ก็มีแท็กซี่วิ่งเข้ามาส่งคนเจ็บ ตี๋เพิ่งมาถึง!!?
นั่นเพราะเราปั่นจักรยานจนเคยตัว ลืมไปว่ารถยนต์มันต้องไปอ้อมไกลกว่า
แถมรถก็ติดกว่า (เป็นไงล่ะ มาปั่นจักรยานกันเถอะ)

ก็รีบเอารถเข็นมารับ แล้วก็นั่งรอกันยาวเลย ราวๆ เที่ยงคืนตี๋ก็ถูกปล่อยออกมา
พร้อมผ้าพันแผลเรียบร้อย ตี๋บอกว่าโดนสอยไป 13 เข็ม
เราก็จัดการถอดล้อรถ ส่งตี๋พร้อมจักรยานขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน
พร้อมอวยพรให้รอดปลอดภัยจากการโดนแม่ดุ
“แม่ด่าแปลว่าแม่รัก” บอยบอกอย่างมั่นใจเหมือนมีประสบการณ์มาก่อน

ตอนนี้เราก็แยกย้ายกัน กลุ่มพี่ช้างกับน้องบางส่วนกลับทางเดิม ได้ยินว่าจะไปราชดำเนิน
พวกผมเบื่อราชดำเนินแล้ว เลยบอกบอยให้นำทางไปสะพานพุทธฯ
ได้ปั่นทางฝั่งธนบ้างก็แปลกหูแปลกตาดี ชอบถนนปูหินแผ่นแถวกองทัพเรือมาก
หินขรุขระทำให้ปั่นสนุก รู้สึกว่าโช้คหน้าหลังของรถได้ทำงานคุ้มค่าตัว

บอยพาลัดเลาะอีกครั้ง จำได้แว๊บๆ ว่าไปทางวัดกัลยาณมิตร ลงท่าน้ำ
เลียบไปตามทางเดินริมแม่น้ำ แล้วตัดเข้าทางเดินชุมชนริมน้ำอีกที
ช่วงนี้เป็นทางเดินปูไม้ระแนง เสียงกึงกังจนกลัวชาวบ้านเค้าจะตื่นมาดุเอา
แต่ก็เบาใจ เมื่อยังเห็นมอร์เตอร์ไซค์วิ่งอยู่บ้าง แล้วก็ยังมีจอดอยู่ประปราย
เลยคิดว่าเค้าน่าจะชินกับเสียงรถ เสียงไม้ตอนกลางคืนแล้ว เพราะยังมีคน
มานั่งดื่มกิน ตกปลาริมน้ำกันให้ครึกครื้น

เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเชิงสะพานพุทธแล้ว การปั่นข้ามสะพานพุทธไม่ลำบาก
เพราะไม่ชันเหมือนสะพานพระปิ่นเกล้า บนสะพานก็มีคนเยอะ
เห็นมีหนุ่มสาวมานั่งคุยปรึกษาปัญหาชีวิตกันเต็มไปหมด เชิงสะพานก็มีตลาดนัด
พอข้ามมาถึงฝั่งพระนครก็มีน้องบางส่วนแยกย้ายกลับ เราก็เลยปั่นเข้าเยาวราช
หาของกิน

ถึงไชน่าทาวน์เมืองไทยก็เกือบตีหนึ่ง บอยพาไปร้านน้ำผลไม้ปั่นตรงตลาดเก่า
ก็นั่งพักกินน้ำปั่นดับกระหาย ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน
แม่ค้าน้ำปั่นดูแลพวกเราดีมากจนน่าสงสัย ที่แท้ก็รู้จักกับบอยเพราะเป็นขาประจำ
หมอนี่รู้จักคนเค้าไปทั่วจริงๆ แฮะ

ขากลับเหลือกันสามหน่อเหมือนเดิม ก็ปั่นออกมาทางเสือป่าข้าง รพ.กลาง
เลี้ยวขวาขึ้นสะพานยศเส เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระราม 6 แล้วก็อัดยาวถึงแยกประดิพัทธ์
แล้วเลี้ยวขวาขึ้นแยกสะพานควาย พี่ผึ้งก็แยกไปทางซ้ายเพื่อกลับบ้านที่รัชโยธิน
ผมกับโน่ออกขวานิดเดียวก็ถึงที่พักประมาณตีสองเศษๆ
ก่อนแยกกันก็ถามระยะทางจากพี่ผึ้งที่มีไมล์ดิจิทัลติดรถอยู่ด้วย
ทราบว่าประมาณ 40 กม. ใช้ได้…ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป

สรุปว่าจบทริปนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าตี๋กับบอยมีชื่อจริงว่าอะไรกัน…

Oscar 2007

แป๊บๆ ก็ผ่านไปอีกปีนึงแล้ว เหมือนปีที่แล้วเพิ่งประกาศไปหยกๆ
ปีนี้ยังดีหน่อยที่ได้ดูหนังที่เข้าชิงไปแล้วหลายเรื่องเหมือนกัน

ปีนี้ก็เป็นปีที่ 79 แล้ว ธีมของงานตามรูปโปสเตอร์ที่ใช้โปรโมทคือใช้คำพูดเจ๋งๆ
จากหนังหลายๆ เรื่อง มารวมๆ ต่อๆ กัน…สวยดี
เหมือนเดิมนะครับ มาไล่กันไปตามลำดับ

สมทบชายยอดเยี่ยม: อลัน อาร์กิ้น จาก Littel Miss Sunshine
-หนังเล็กๆ ที่มาแรงมากในทุกๆ เวที ถึงตรงนี้ก็ยังแรงไม่เลิก ชักสนุกแล้วครับ
บ้านเราก็มีคนตั้งตารอดูกันเยอะอยู่เหมือนกัน สาขานี้ผมได้ดูไปแค่ 3 เรื่อง
ในบรรดาผู้เข้าชิงนี่ชอบ จิมอน ฮอนซู จาก Blood Diamond ที่สุด
ส่วนมาร์ก วาห์ลเบิร์ก จาก The Departed ก็มีคนพูดถึงกันเยอะ แต่ผมเฉยๆ แฮะ

เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม: Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest
-รางวัลเดียวที่กัปตันแจ็คได้ไปในงานนี้ เทียบกับคู่แข่งอย่าง Poseidon กับ Superman Returns
ก็ถือว่าสมควรแล้ว หนวดปลาหมึกหนุบหนับของเดวี่ โจนส์กับเรือฟลายอิ้งดัชต์แมน เจ๋งออกซะขนาดนั้น

อนิเมชั่นยอดเยี่ยม: Happy Feet
-แอบเชียร์ Cars มากกว่านิดนึง แต่แบ่งรางวัลให้คนอื่นเค้าบ้างก็ดีนะ
เดี๋ยวเค้าจะว่าเอาได้ว่า Pixar ทำอะไรก็กวาดรางวัลไปหมด
แถมนกเพนกวินมันก็น่ารักกว่ารถยนต์มากซะด้วย
ส่วน Moster House ภาพคงยังไม่สวยพอที่จะสู้เค้าได้
แถมเนื้อเรื่องมันยังแรงเกินเด็กไปนิดส์

ออกแบบเสื้อผ้า: Marie Antoinette
-ได้ข่าวว่าโดนคนดูโห่ไล่ ตอนฉายที่คานส์ แต่เรื่องเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายต้องยกให้เค้าจริงๆ
หนังฟอร์มตกของโซเฟีย คอปโปล่า หลังจากทำ Lost in Translation จนดังไปไม่น้อย
โปสเตอร์หนังที่เห็นหน้าน้องเคียร์สเท็น ดันส์ในบทพระนางมารี อังตัวเน็ตต์ก็น่ารักดี
คำสาปดอก…เอ่อ…เบญจมาศ ของจางอี้โหมวที่ผมแอบเชียร์ก็เป็นอันว่าแพ้ไป

แต่งหน้า (เมคอัพ) ยอดเยี่ยม: Pan’s Labyrinth
-รอดูอยู่เช่นกัน กับหนังมหัศจรรย์เขาวงกตแฟนตาซี
ผลงานใหม่ของพี่เกียลเลอโม เดล เทอโร่ หลังจาก Hellboy
ผมรอดู Hellboy 2 : The Golden Army อยู่ด้วยนะครับพี่

สมทบหญิงยอดเยี่ยม: เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน จาก Dreamgirls
-ผมดู Dreamgirls แล้วไม่ค่อยปลื้มมาก สาขานี้จึงเชียร์น้องรินโกะ คิคุจิ จาก Babel เต็มที่
ไม่ใช่เพราะ “ฉากนั้น” หรอกนะ น้องเค้าเล่นเป็นคนใบ้หูหนวกได้ดีจริงๆ…จริงจริ๊ง…
เป็นอันว่าเซ็งไปอีกหนึ่งสาขาครับ

สารคดียอดเยี่ยม: An Inconvenient Truth
-เรื่องอื่นที่เข้าชิงด้วยกันไม่เคยดูเลย แต่เรื่องนี้ก็สมแล้ว เพราะทำให้ผมกับเพื่อนหันมา
ปั่นจักรยานไปทำงานได้ทุกวันตั้งแต่ออกจากโรงหนังคืนนั้น

กำกับศิลป์: Pan’s Labyrinth
-บอกตามตรงว่าสาขานี้ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าตัดสินกันที่อะไรบ้าง
ดูจากรายชื่อผู้เข้าชิงแล้วก็สูสีกันหมด ทั้งกัปตันแจ็ค กับหนังนักมายากล The Prestige

ดนตรีประกอบภาพยนตร์: Babel โดย กุสตาโว ซานโตลัลญา
-ให้ตายเถอะ สกอร์มันคงเนียนกลมกลืนกับเนื้อเรื่องมากจนผมไม่รู้สึกว่ามันมีเลยนะเนี่ย
เหมือนตอนดู Blood Diamond ที่แทบไม่ได้ยินเสียงดนตรีตื่นเต้นตอนฉากสงครามกลางเมือง

ผสมเสียง: Dreamgirls
-ผสมกันยังไงเนี่ย ทำเอาผมเหนื่อยหูมาก นักแสดงในเรื่องโก่งคอเปล่งพลังเสียงกันซะขนาดนั้น
รอดออกมาจากโรงได้ก็ถือว่าโอเค ผมเป็นประเภทที่ชอบแบบ Chicago มากกว่าจริงๆ

เพลงประกอบยอดเยี่ยม: I Need to Wake Up โดย เมลิสซา เอเธอร์ริจ
จาก An Inconvenient Truth

-แอบสะใจเล็กๆ ที่เพลงจาก Dreamgirls เข้าชิงตั้ง 3 เพลง แต่แพ้หมดเลย กร๊าก….
ส่วนเพลง Our Town ของแรนดี้ นิวแมน จาก Cars คนนี้เข้าชิงทุกปี
แต่ปีนี้ก็เหมือนส่วนใหญ่ที่ผ่านมา คือ ชวด

ตัดต่อเสียง: Letters From Iwo Jima
-ปู่คลินต์คงไม่เสียใจแล้ว ที่ Flag of Our Fathers เงียบสนิท แต่หนังที่ถ่ายคู่กัน
พร้อมเล่าเหตุการณ์คนละด้านเรื่องนี้ กวาดคำชมและรางวัลมาแทน

ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม: The Lives of Others จากเยอรมัน
-เห็นมีโปรแกรมฉายอยู่ที่ลิโด้ แต่มีแค่วันละรอบเดียว ต้องหาเวลาไปดูซะหน่อยแล้ว
ส่วน Pan’s Labyrinth ก็เข้าชิงสาขานี้ด้วย

ตัดต่อยอดเยี่ยม:The Departed
-รู้สึกว่าไม่น่าจะเหนือกว่า Babel, Blood Diamond หรือแม้แต่ United 93 เลย
แต่ก็ชนะไปแล้วจนได้ สาขานี้เหลือแค่ Children of Men ที่สงสัยคงจะได้รอดูแผ่น

ดารานำชายยอดเยี่ยม: ฟอเรสต์ วิทเทเกอร์ จาก The Last King of Scotland
-น้องที่รู้จักเชียร์ วิล สมิธ จาก The Pursuit of Happyness
ผมเชียร์ลีโอ จาก Blood Diamond เลยพากันแห้วทั้งคู่
แตได้่เห็นหนังตัวอย่าง Venus ของปีเตอร์ โอทูลแล้ว เป็นอีกเรื่องที่ไม่น่าพลาดจริงๆ
ส่วนหนังที่ชนะนี่น่ะเหรอ ไว้ถ้านึกอยากรู้ประวัติของจอมเผด็จการอีดี้ อาร์มินค่อยคิดอีกที
ทุกวันนี้ยังไม่กล้าดู Hotel Rwanda เลย

ถ่ายภาพยอดเยี่ยม: Pan’s Labyrinth
-หนังเค้าคงดีจริง ถึงชนะ The Prestige ไปได้

ดารานำหญิงยอดเยี่ยม: เฮเลน มิเรน จาก The Queen
-ต้องยอมเค้าจริงๆ ครับ เพิ่งดูมาเมื่อคืนวันเสาร์นี่เอง
เคท วินสเลท (Little Children) กับ ป้าเมอรีล สตรีพ (The Devil wears Prada)
ก็เป็นอันว่ารอปีต่อๆ ไปแทนก็แล้วกัน

บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม: The Departed โดย วิลเลียม โมนาแฮน
-ผู้ประกาศรางวัลบอกว่าเป็นบทดัดแปลงจากหนังญี่ปุ่น…
แอนดรู เลา กับ อลัน แม็ก คงเซ็ง ที่ Infernal Affairs “สองคน สองคม” ของเค้า
เปลี่ยนสัญชาติกลางเวทีซะงั้น แต่แบบนี้เราคงได้ดูเป็นไตรภาคเหมือนต้นฉบับแน่นอน

บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม: Little Miss Sunshine โดย ไมเคิล อาร์ท
-ตอกย้ำความน่าดูให้กับหนังเรื่องนี้เข้าไปอีก

ผู้กำกับยอดเยี่ยม: มาร์ติน สกอเซซี่ จาก The Departed
-หลังจากได้แค่เข้าชิงมาตลอด ถ้านับเฉพาะสาขานี้ก็ 6 ครั้งเข้าไปแล้ว
ในที่สุดปู่มาร์ตี้ก็สมหวังกับเค้าซะที ปู่แกคงมีแรงทำหนังดีๆ ให้เราดูต่อไปอีกนาน

ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม: The Departed
-พูดไม่ออกเลย คงเพราะดูนานแล้วจนลืมว่าประทับใจแค่ไหน คือมันไม่ถึงกับแย่
แต่มันก็ไม่ได้ชอบมาก ต้นฉบับฮ่องกงมันทำดีเกินไปจนทำใจเป็นกลางได้ยากจริงๆ
เรื่องที่เข้าชิงอื่นๆ อย่าง Babel กับ The Queen ก็ดูแล้ว
รอก็แต่ Letter From Iwo Jima กับ Little Miss Sunshine เข้าเมื่อไหร่จะได้พิสูจน์ซะที

สรุปว่า The Departed คว้าไปมากสุด 4 รางวัล
Pan’s Labyrinth 3 รางวัล
Little Miss Sunshine 2 รางวัล
An Inconvenient Truth 2 รางวัล
Dreamgirls 2 รางวัล
นอกนั้นก็แบ่งกันไปเรื่องละรางวัล หลังๆ มานี้รางวัลกระจายกันดีเหมือนกัน

ก็เหมือนทุกปี ที่ต้องรอดูเทปบันทึกภาพบรรยากาศงานอีกตามเคย
อิจฉาคนมียูบีซีเนอะ ไม่ใช่สิ เดี๋ยวนี้ต้องเป็น “True Vision” แล้ว…^_^
มีคนแซวว่าติดเคเบิ้ลอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องไม่มีเวลาดูมันด้วย…ขอบอกว่าถูก!

ที่มาOscar.com
ไปดูรูปสวยๆ (โดยเฉพาะนิโคล คิดแมน) ได้ที่เวบเค้าเลยครับ