Yo-ho, yo-ho, a pirate’s life for me

ถ้ายังจำได้ หรือเพิ่งเปิดหนัง Pirates of the Caribbean ภาคแรกมาดูอีก
นี่คือเนื้อเพลงโจรสลัดที่นางเอกวัยเด็กร้องอยู่บนกราบเรือในฉากเปิดเรื่องเลย
ในภาค At World’s End นี้เราจะได้ฟังตั้งแต่ฉากเปิดในหนังตัวอย่าง
ส่วนตัวหนังจริงๆ ก็จะได้ฟังแบบเต็มๆ เพลงพร้อมคำแปลตั้งแต่ต้นเรื่อง
เพลงมันเป็นโทนเศร้าๆ เข้ากับฉากเปิดเรื่องดีเหมือนกัน
At World's End
CTBV ประเทศไทย ใช้สยามพารากอนเป็นที่เปิดตัว Pirates of the Caribbean: At World’s End
ดารา นักข่าว คนแวดวงภาพยนตร์ก็มากันอุ่นหนาฝาคั่ง เราก็ยืนเนียนไปกะเค้าตามฟอร์ม
ระหว่างรอให้แมทธิวกับลิเดียเค้าร้องเพลงไป ผมก็ต่อแถวเล่นเกมส์รับแจกโปสการ์ด แฮนด์บิลไปเรื่อยเปื่อย
ได้กินน้ำตะไคร้ไปแก้วนึง แย่งขนมกับเบียร์ไม่ทันเพราะเข้าไม่ถึง…(- -“)

พอใกล้ๆ สองทุ่ม ก็รีบไปรอหน้าโรง เดี๋ยวคนจะแน่น ฝากกระเป๋ากล้องกับมือถือไว้หน้าโรงตามกฎ
แล้วก็ไปนั่งดูหนังได้สบายใจ คราวนี้มีตัวอย่างใหม่ของ Ratatouille หนังอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของ Pixar
แปะหัวมาด้วย นอกนั้นก็เป็นเรื่องเดิมๆ ที่เคยดูมาแล้วทั้งหมดเลย
ว่ากันถึงตัวหนัง ไม่เล่าเรื่องก็แล้วกันนะ สรุปแบบไม่เฉลยเลยดีกว่า….

ใครที่ดูภาคแรกแล้วชอบก็คงต้องดูภาคสอง เมื่อดูภาคสองแล้วก็ต้องดูภาคสาม
เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องโฆษณาอะไรมาก ก็มาดูกันให้ครบๆ จบเรื่องกันไป
จริงๆ แล้วก็คงยังไม่จบง่ายๆ หรอก แม้ว่าตัวน้องเคียร่า ไนท์ลี่ จะปฏิเสธเสียงแข็งแล้วว่าไม่เล่นต่อแน่นอน
แต่ป๋าเดปป์ยังอยากเล่นอีก ข่าวว่าเซ็นสัญญาภาค 4 ไปแล้วด้วย เอานะ..ป๋าเค้าชอบบทแจ็ค สแปร์โรว์จริงๆ
ดูในหนังภาคนี้จะยิ่งเห็นว่าจอห์นนี่ เดปป์ เมามันมากขนาดไหนในการรับบทโจรสลัดเพี้ยนคนนี้

ชอบแนวคิดเรื่อง Davy Jones’ Locker (ในหนังแปลว่า “แดนกักวิญญาณ”)
ที่จริงคำนี้มีให้ได้ยินตั้งแต่ภาคแรกอยู่แล้ว ตอนที่พูดถึงบู๊ทสแตร็ปว่าถูกจับมัดกับปืนใหญ่ถ่วงน้ำ
ฉากน้ำตกที่ขอบฟ้าทำให้นึกถึงการ์ตูนเรื่อง Sinbad: Legend of the Seven Seas เมื่อสามสี่ปีก่อนเลย

เทคนิคด้านภาพยังสุดยอดเหมือนเดิม แค่ดูฉากกองเรือถล่มกันกับแอ็คชั่นท้ายเรื่องก็คุ้มแล้ว
อารมณ์ขันก็ยังมีอยู่ แม้จะไม่แพรวพราวเท่าภาคก่อนๆ
แจ็คกับบาร์บอสซ่านี่อยู่ด้วยกันจะฮามากอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ภาคแรกยังไล่ฆ่ากันอยู่เลย
เรือฟลายอิ้งดัตช์แมนกับเหล่าลูกเรือผีทะเลทั้งหลาย ถึงจะไม่เด่นเท่าภาคที่แล้ว แต่ก็ยังเนี้ยบ

ข้อเสียของภาคนี้ก็คือรู้สึกว่า เรื่องมันเยอะ ตัวละครแยะ ดูแล้วตามหนังแทบไม่ทัน ปมต่างๆ ก็เคลียร์ไม่สวยเท่าไหร่
เดาได้ว่าต้องยังคงมีคำถามมากมายจากคนดูหลังจบเรื่อง แต่มองในแง่ดีก็คือได้ทำให้มาคุยกันสนุกขึ้น

ผมว่าไตรภาคชุดนี้ดูจบแล้วได้อารมณ์ใกล้เคียงกับ The Matrix คือ ภาคแรกสมบูรณ์ ลงตัว จบได้ด้วยตัวเอง
พอฮิตขึ้นมา ก็เลยอยากทำให้เป็นไตรภาค เลยแบ่งบทภาคสองกับภาคสามเป็นเรื่องเดียวกัน
สุดท้ายผลลัพธ์ก็จะล้นๆ เพราะสเกลมันใหญ่เกินไป (อ่าวเรือแตกในหนังเห็นแล้วแอบนึกถึงนครใต้ดิน Zion)
ถ้าถามว่าชอบภาคไหนมากกว่ากัน ก็เรียงลำดับตามภาค 1 2 3 ไปเลย

แนะนำว่าควรเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อยก่อนเข้าโรงหนังนะครับ เพราะภาคนี้ยาว 168 นาที
เทียบกับภาคแรก 143 นาที ภาคสอง 150 นาที ปกติหนังสองชั่วโมงเต็มๆ ก็ถือว่ายาวแล้วนะ
ที่สำคัญก็ขอให้อยู่ดูจนจบ end credit เหมือนทุกภาคที่ผ่านมาด้วยก็แล้วกัน จะได้ดูจบไตรภาคอย่างสมบูรณ์จริงๆ

นิดนึง…สูตรการดูหนังภาคต่อให้สนุก ก็คือไปหาสองภาคแรกมาดูทบทวนก่อนไปดูภาคสามครับ
หรือจะใช้วิธีลัด ไปอ่าน Starpics เล่มใหม่ หน้าปกแจ็ค สแปร์โรว์ ดู timeline ของหนัง
ได้เก็บรายละเอียดกันเพลินไปเลย อย่าพลาดเชียว ^_^

Bangkok Day Trip with Trek Fuel 70

คืนวันเสาร์โน่บอกว่ามีนัดปั่นวันอาทิตย์แต่เช้า
หันไปมองรถคู่ใจ ปรากฏว่ายางแบน
จัดการสูบซะเรียบร้อย ออกไปเดินเล่นชั่วโมงนึงกลับมาดู แบนสนิท!
เลยได้จัดการถอดล้อ งัดยางในออกมาหารูรั่ว ก็เจอหนามเล็กๆ ตำอยู่ที่ยางนอก
สงสัยเหยียบตอนปั่นกลับจากเกษตรคืนวันศุกร์ ก็ปะเรียบร้อย รีบนอน

วันอาทิตย์ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า รีบออกกับโน่ ไปเจอกับเบิ้ม, เปา ที่แยกรัชโยธิน
แล้วปั่นไปลาดพร้าว 71 เจอกับโจ๊ก หรือครูลิลลี่ แห่ง maxrider.com
เพื่อจะปั่นไปเจอกับพี่โด่ง กับ ต่อ ที่โรงเรียนสตรีวิทย์ 2 บางเขน
ก็ออกจากลาดพร้าวแล้วเลียบทางด่วนไปทางเกษตรนวมินทร์ เลนจักรยานบนถนนประดิษฐ์มนูธรรมนี่ดีจริงๆ ครับ
พอถึงแยกลาดปลาเค้าเราก็เลี้ยวซ้ายไปทางวังหิน กลายเป็นว่าพวกเราปั่นวนเป็นวงกลมซะงั้น
รู้งี้นัดกันที่โรงเรียนก็หมดเรื่อง ก็ถือซะว่าเป็นการอุ่นเครื่อง 15 กิโลเมตร

ที่สนามบอลสตรีวิทย์ 2 เป็นลานเล่นเครื่องบินบังคับวิทยุด้วยครับ
พี่โด่ง นักปั่นเอ็กซ์ตรีม อดีตแชมป์ดาวน์ฮิลล์ประเทศไทยเค้าหันมาเล่น ฮ.บังคับวิทยุด้วย
เลยมานัดกันที่นี่ ปั่นๆ ไปก็พักดูเค้าบังคับเครื่องบินเล่นกันไปด้วย น่าทึ่งดีเหมือนกัน
ที่เห็นเค้าบังคับ ฮ.ให้บินผาดโผน ตีลังกา พลิกซ้ายพลิกขวา เสียงก็ดังเหมือนเครื่องบินจริงๆ ซะด้วย เจ๋งมาก

ระหว่างรอให้พี่โด่งเอา ฮ.บังคับวิทยุให้พวกเซียนๆ เค้าปรับแต่ง เราก็ปั่นโดดเล่นกันในโรงเรียนไปเรื่อยๆ
เลยได้เห็นว่าต่อ bunny hop ได้แม่นมาก โดดขึ้นขอบฟุตบาท ขั้นบันไดได้พลิ้วดีจริงๆ
ผมก็ได้ปั่นตามไปก๊อกๆ แก๊กๆ ดูนาฬิกา เพิ่งจะเก้าโมง ถ้าเป็นปกติป่านนี้คงยังไม่ตื่น

พอสายหน่อยก็ย้ายกันไปสนามโดดที่บ่อดิน แถวรามอินทรา อัดจักรยาน 7 คันใส่รถพี่โด่งไปกัน
เนื่องจากช่วงนี้ฝนลงบ่อย ทางเข้าเลยเละมาก ลุยโคลนซะ ทำเอา Specialized BigHit ของครูลิลลี่เน่าไปเลย
เห็นดังนั้นผมเลยยอมหนัก แบกรถข้ามโคลนไป เลยเลอะแค่นิดหน่อย
DSC00169.JPGDSC00168.JPG
กำลังเอาไม้รูดโคลนออกจากล้อกันอย่างขะมักเขม้น ส่วนรถผมเรี่ยม 🙂

เข้าไปถึงเนินโดด พี่โด่งบอกว่าปกติก็จะมีกลุ่มบ่อดินเค้ามาโดดเล่นกันประจำ กับพวกโมโตครอสบ้าง
แต่วันนี้มีแต่พวกเรา แล้วก็ชาวบ้านที่มาจับปลา เด็กๆ มาเล่นน้ำกันนิดหน่อย เลยเล่นได้สบาย
ครูลิลลี่ลุยก่อนเลย โดดได้สามรอบ
“เฮ้ย!!!”
ฉึก…

โยนรถทิ้งทันที เพื่อจะเห็นหน้าแข้งแหก แล้วเลือดก็ไหลอาบออกมาอย่างรวดเร็ว
ครูลิลลี่เริ่มส่งสัญญาณแสดงอาการบาดเจ็บ
“โหย…เจ็บว่ะ..อูยยยย….ซี้ดดส์” มีเสียงสุดปากเหมือนคนกินพริกด้วย
“เอาน้ำไปล้างแผลก่อนพี่” เบิ้มตะโกน พร้อมโยนขวดน้ำไปให้ต่อ
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งล้าง ถ่ายรูปก่อน” ครูลิลลี่บอกด้วยวิญญาณของผู้ชอบเป็นข่าว (-_-“)
ต่อเลยจัดการเก็บภาพให้
DSC00173.JPG
จริงๆ เลือดโชกเลยครับ แต่มุมนี้มองไม่ค่อยเห็น
สุดท้ายก็ไม่ได้ล้างแผลหรอก ปล่อยให้เลือดแห้งปิดแผลไว้อย่างนั้นแหละ

“เป็นไงล่ะ ไหนบอกแค่มาปั่นขำๆ” ต่อแซว
“ก็กะว่าแค่ปั่นขำๆ แหละ เลยไม่ใส่สนับแข้งมา” ครูลิลลี่ครวญอย่างสุดเซ็ง แต่พอหายปวดก็ไปโดดต่อ
ส่วนผมกับโน่ไม่สนใจอยู่แล้วว่าจะปั่นขำๆ หรือไม่ขำ เพราะสนับแข้งติดอยู่เสมอยามออกทริป
เปาพกมาแต่ไม่ใส่ เห็นตัวอย่างแล้วเลยงัดขึ้นมาใส่บ้างทันที แล้วก็ออกไปโดดกัน
ต่อนำ เบิ้มตาม ครูลิลลี่ซ้ำอีก ผมก็ไปปั่นๆ เลียเนินกะเค้านิดหน่อย โดดลอยประมาณ 10 เซ็นมั้ง (- -“)
DSC00176.JPGDSC00172.JPG

พี่โด่งโชว์ฟอร์มบ้าง
DSC00175.JPGDSC00177.JPGDSC00174.JPG
นี่ขนาดบอกแก่แล้วไม่ค่อยมีแรงนะเนี่ย…

ประมาณเที่ยงก็หมดแรง เลยพากันไปกินก๋วยเตี๋ยวหมูเจ้าอร่อยที่ลาดพร้าว 87 เสร็จแล้วก็แยกย้าย
ต่อกับพี่โด่งก็ขนรถกลับบ้าน พวกเราที่เหลือก็เตรียมปั่นไปร้านจักรยานที่จรัญฯ 20 ฝั่งธนฯ
ก็จัดการลำเลียงรถออกมาจากปิคอัพของพี่โด่ง
DSC00050.JPG
เป็นไงล่ะ ใช้คนดังยกรถให้ซะเลย เอารีบรับหน่อย อย่าให้ดาราออกแรงนาน

ร่ำลากันแล้วเราก็ปั่นออกลาดพร้าว 101 แวะร้านนครไทยจักรยานดูอะไหล่นิดหน่อย
แล้วก็ซัดยาว เลียบใต้ทางด่วนไปออกพระรามเก้า เข้าอโศก สุขุมวิท สยาม ยศเส รพ.กลาง เสาชิงช้า
แล้วก็ไป ม.ศิลปากร วังท่าพระ แวะกินน้ำกินท่า โน่เอาเบรคไฮดรอลิคมาให้หนุ่ม นักปั่น trials แห่งศิลปากร
ส่งของเสร็จก็ลงเรือข้ามฟากจากท่าพระจันทร์ไปศิริราช แล้วปั่นไปพรานนก ต่อไปจรัญฯ 20
ถึงร้านแสงเพชรจักรยาน เดินดูอะไหล่ เก็บข้อมูลเรื่องราคา โน่ได้บ๊อกซ์ไกด์ใหม่ติดรถสมใจ สวยดุดัน เท่ห์ซะ
(กลับมาถึงบ้านยังนั่งมองรถตัวเอง ชื่นชมไม่ยอมหยุดตามประสาคนเห่อของใหม่) 😛

เสร็จแล้วก็มาข้ามฟากกลับที่เดิม ก็เลยเก็บภาพไว้ซะหน่อย เพราะคราวนี้มีเบิ้มมาด้วย
DSC00180.JPG
ออกมาสนามหลวง เลาะแม่น้ำไปถนนพระอาทิตย์ ฝนก็ตก หนักซะด้วย เซ็งเลย
ถนนเปียก โดดเล่นไม่ได้ เดี๋ยวลื่นหัวแตก ก็เลยแวะกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่บางลำพู
แล้วก็ปั่นกลับทางราชดำเนิน ลานพระรูปฯ รัฐสภา ราชวิถี พระราม 6 จตุจักร จนถึงบ้านประมาณสองทุ่ม
ปั่นกันแทบไม่ได้หยุดทั้งวันเลย ดูไมล์ติดรถ บอกระยะทาง 72 กม.
เบิ้มบอกว่าเป็นการปั่นที่นานและไกลที่สุด แถมตอนบ่ายก็ร้อนแทบละลายและเหนื่อยจนหมดแรง
พี่ก็เหมือนกันว่ะ…

ปล.ด้วยสถิตินี้ทำให้มั่นใจได้อีกนิดนึงว่า ซักวันคงปั่นไปต่างจังหวัดได้แล้ว เย่ห์…

Wild Hogs สี่เก๋า ซิ่งลืมแก่

เมื่อวานน้องที่รู้จักกันใน CTBV โทรมาบอกว่ามีรอบเพรสเรื่อง Wild Hogs ที่พารากอนสองทุ่ม
ไม่มีเหตุผลที่เราจะพลาด ก็พุ่งกันไปสองคนอย่างเคยกับโน่ตั้งแต่ทุ่มนึง
เดินเข้าห้างก็ต้องโดนสแกนตัว มีเสียงปิ๊บๆ จากเครื่องตรวจแบบมือถือของพี่ รปภ.
แต่เค้าก็ปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โน่บอกเพราะเราไม่แสดงอาการมีพิรุธ
หน้าไม่เปลี่ยนสี เค้าเลยไม่สนใจ คงจะจริง ไม่ใช่ว่าเค้าตรวจไปงั้นๆ หรอกน่ะ
ก็ขึ้นไปเอาตั๋ว (ที่คราวนี้พิมพ์เป็นขาวดำ) แล้วก็ยืนแกร่วกันอยู่หน้าโรงรอหนังฉาย

Wild Hogs

ระหว่างรอรู้สึกตัวเองกลมกลืนกับแขกในงานมาก เพราะหนังมันเกี่ยวกับแก๊งช้อปเปอร์
ทางผู้จัดเค้าเลยเชิญสิงห์นักบิด เสื้อหนัง ชุดดำมากันเต็มงานเลย
เรายืนใส่เสื้อเหลืองกันสองคนโดดเด่นมาก แถมสะพายเป้ใส่หมวกกันน็อค (ของจักรยาน) ซะด้วย
ไม่รู้จะคุยกับใคร มีแต่คนที่เรารู้จักเต็มเลย แต่ไม่มีใครรู้จักเรา
ก็เลยยืนดูน้องพริตตี้กับรถช้อปเปอร์ที่เค้าเอามาโชว์ สวยดี ดูเจริญตาเจริญใจ
เห็นบอกว่าเป็นเจ้าของได้เพียงแค่เดือนละแปดพันต้นๆ แต่ไม่บอกว่ากี่เดือน สงสัยจะ 60 เดือนมั้ง
…พูดถึงฮาร์เล่ย์เดวิดสันนะครับ ไม่ใช่พริตตี้

จำได้ว่าเห็นหนังตัวอย่างเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นปี ตอนดู Curse of the Golden Flower ทำออกมาตลกดีใช้ได้
ได้เวลาแล้ว เข้าไปดูหนังกันดีกว่า…อ่านได้นะครับ ไม่เฉลยเนื้อเรื่อง 😉

Wild Hogs เป็นชื่อแก๊งของตัวเอกทั้ง 4 ที่กำลังเข้าสู่วิกฤติวัยทอง
คนนึงเมียทิ้ง หมดตัว คนนึงเป็นหมอฟันที่ลูกไม่ยอมรับ แถมคอเลสเตอรอลเกินพิกัด
คนนึงอยู่แต่บ้านจนโดนค่อนขอดว่าเกาะเมียกิน ทั้งที่เจ้าตัวบอกว่าออกจากงานมาพักเพื่อล่าหาฝัน แค่ปีนึงเอง!
ส่วนอีกคนนึงเป็นโปรแกรมเมอร์หนุ่มใหญ่ที่ยังหาแฟนไม่ได้ (เหมือนใครแถวนี้)
สี่คนเป็นเพื่อนรักกัน สุดสัปดาห์ก็รวมตัวกันออกมาขี่รถหาจิบเบียร์ตามบาร์
ชอบที่ในหนังแปลชื่อ Wild Hogs ว่า แก็งเขี้ยวตัน
รูปหมูป่าที่ติดเสื้อก็เพราะเมียของหนึ่งในกลุ่มทำให้
ทั้งหมดตกลงจะผจญภัยขี่รถข้ามประเทศไปฝั่งตะวันออก
จากนั้นก็เข้าตำราหนัง road movie ระหว่างทางที่แวะบาร์
ก็ไปเจอกับกลุ่มนักซิ่งตัวจริง Del Fuegoes นำทีมด้วยแจ็ค (เรย์ ลีออตต้า)
ซึ่งกวนได้น่ากลัวสะใจโรคจิตยิ่ง (จริงๆ มันก็ดูบ้าๆ บอๆ กันทั้งแก๊ง)

ผู้กำกับหนังหน้าใหม่ชื่อไม่คุ้นอย่าง วอลท์ เบ็คเกอร์ คุมหนังออกมาได้ดูสนุกตลอดทั้งเรื่องเลยครับ
ดูไปขำไปตลอด ไม่มีช่วงอืด ตอนที่ตำรวจทางหลวงมาเจอกลุ่มพระเอกนี่ฮาจริงๆ
สี่นักแสดงนำไม่ต้องพูดถึง มืออาชีพล้วนๆ แค่ดูสี่คนนี้วาดลวดลายบนจอก็คุ้มแล้ว
โดยเฉพาะบทพูดฮาๆ หน้าตายของดั๊ดลี่ย์ แฟรงค์ (วิลเลี่ยม เอช. เมชี่)
นางเอกมาริสา โทเม่ ก็ยังน่ารักแบบลุยๆ อยู่เหมือนเดิม
บทรับเชิญของปีเตอร์ ฟอนด้าก็เท่ห์สุดๆ
แถมตอนจบช่วง end credit ยังได้ฟัง Lost Highway
เพลงใหม่ของ Bon Jovi ที่ทำให้ผมต้องนั่งดูจนจบเพื่อคอนเฟิร์มกับตัวเองว่าฟังไม่ผิดหู
แบบนี้อัลบั้มเต็มออกต้องซื้อแน่นอน

ที่ชอบก็คือในบางมุม สี่คนนั้นก็เหมือนเป็นตัวแทนของมนุษย์เงินเดือน (ที่อายุเริ่มมากขึ้น) อย่างเราๆ
ที่พอถึงจุดนึงที่รู้สึกขาดอิสระเสรีในชีวิต ได้ลุกขึ้นทำอะไรตามใจซักครั้งก็อาจช่วยปลุกชีวิตที่ราบเรียบได้
ปล่อยใจตามไปกับตัวละครบนจอ เพราะชีวิตจริงหาโอกาสที่น่าอิจฉาแบบนั้นไม่ได้ง่ายๆ นี่เนาะ…;-)

ครั้งแรก (อีกแล้ว) ที่บึงตะโก้

ครั้งก่อนที่ไปปั่นจักรยานบนเขาอีโต้พลอยทำให้คราวนี้เรียกชื่อบึงเค้าผิด
เป็น “บึงอีโต้” อยู่เรื่อย สงสัยคราวหน้าคงได้ไปปั่นจักรยานที่ “เขาตะโก้” (- -!)
(อ้อ…เขาอีโต้ไปรอบสองมาแล้ว รูปมีแค่นี้ 1, 2, 3)

พอดี กฤษณ์ น้องที่บริษัทชวนกันไปเล่นเคเบิ้ลสกี ที่บึงตะโก้
กำลังอยากลองอยู่พอดี เพราะเดือนก่อนเผลอไปซื้อหนังสือ the X Moment
เล่มที่หน้าปกรูปดีเจ ดาวิเด โดริโก้ กำลังเล่น Wakeboard นั่นแหละ
อ่านแล้วก็สนุกดี ใครสนใจก็น่าไปลองหาอ่านดู

“บึงตะโก้” ได้ยินชื่อเสียงมานาน สมัยอยู่ชลบุรี เวลาเข้ากรุงเทพก็ต้องผ่านบ่อยๆ
รายการทีวี หนังสือกีฬาเอ็กซ์ตรีม ก็พาไปดูหลายรายการ หลายเล่มแล้วเหมือนกัน
บ่ายวันจันทร์หยุดชดเชยวันฉัตรมงคล เลยพากันลุยฝนพรำๆ เอารถไปเอง
นั่งอัดกันไป 6 คน

ขึ้นทางด่วนดินแดงไปลงบางนา-ตราด ก็วิ่งยาวไป พอถึงสะพานทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ
ก็ชิดซ้ายขึ้นสะพานกลับรถ ย้อนมาหน่อยเดียวก็เลี้ยวซ้ายเข้าตรงทางไป อบต.บางพลีใหญ่
เห็นป้ายเล็กๆ ทางขวา เป็นรูปกราฟฟิคคนเล่นสกีกับวินด์เซิร์ฟ (อันหลังนี่มันเล่นที่นี่ได้ด้วยเหรอเนี่ย!)
ก็เลี้ยวเข้าไป เราไปถึงเย็นแล้วก็เลือกบริการแบบ 2 ชั่วโมง คนละ 300 บาท
(แบบอื่นที่มีให้เลือกคือ ชม.ละ 200 หรือเหมาทั้งวัน 500)

ก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดพร้อมเปียก แล้วก็ไปเลือกบอร์ด
ตามประสามือใหม่ที่ดี ตามที่ได้ยินมาเราก็ควรเริ่มจากบอร์ดนั่ง (Kneeboard)
แล้วก็ไปต่อคิวที่จุดออกตัว ฟังพี่เค้าแนะนำเทคนิควิธีการเล่นแล้วก็ลุยเลย
ลุย!อย่าแย่งเซ่ะ
ลุดโลด…(คราวนี้มีตากล้องไปด้วย รูปเยอะเลยนะ)

ระหว่างรอก็ตื่นเต้นดี กลัวจะหน้าคว่ำตั้งแต่สตาร์ท แต่ดูๆ แล้วก็เป็นธรรมดา
ที่มือใหม่จะหัวทิ่ม (แน่ะ…ออกตัวไว้ก่อนเลย)
นั่งประจำที่ วางขา คุกเข่าลงกับกระดาน เอาสายรัดมาพาดที่ต้นขา
อ้าว…แผ่นนี้ตัวร้อยสายด้านซ้ายหักนี่หว่า เริ่มลางไม่ดี เดินไปเปลี่ยนแผ่น
กลับมาประจำที่ใหม่ ตามองตัวตวัดสายเคเบิ้ลที่กำลังจะวิ่งมาเกี่ยวของเราแล้วลากไป
ทำใจดีสู้เสือแล้วก็จับด้ามเชือกแน่น ฟึ่บ…
วู้ฮู่วววววพุ่งฉลุย
วู้ฮู่ววววว…
ปรากฏว่าไปได้สวย (แอบภูมิใจที่เล่นครั้งแรกแล้วไม่มุดน้ำ) ฉลุยเลยครับ
แต่โดนลากแบบนี้นี่ปวดแขนแฮะ ตอนที่ยืนรอดูๆ เค้าเล่น ก็ว่ามันไม่น่าจะยากหรือต้องใช้แรงขนาดนี้เลย
พอถึงโค้งมุมแรก ก็ทำตามที่ฟังมาเลยครับ ดึงเชือกเข้่าหาตัวทางซ้าย บิดตัวกับบอร์ดตีวงออกขวา
เตรียมเลี้ยวซ้ายเต็มที่ เคเบิ้ลเข้ามุมทำให้เชือกหย่อน ความเร็วตกลงเล็กน้อย แล้วก็กระชากพุ่งต่อ ฟึ่บ!
“อ้ะห์!”
ตูม!!!
มันเกิดขึ้นเร็วมากครับ…
บอร์ดหลุดจากตัวไปก่อน มือยังกำแน่น เลยโดนลากไปอีกสองเมตร
ปล่อยมือสิ เค้าสอนมา ใช่…ปล่อยปุ๊บ ตัวกลิ้งเลียดไปกับผิวน้ำอีกเมตรครึ่ง

รู้สึกเชือกกระตุกแรงมากจนแขนแทบหลุด มันแรงกว่าตอนออกตัวอีกนี่หว่า
รีบมองไปข้างหลังก่อน ว่าจะมีใครตามมาเสยรึเปล่า
คนเก่งๆ เค้าก็ตวัดตัวหลบฉากกันไ้ด้อย่างมืออาชีพ ฟิ้วๆๆ…

ดึงกางเกงให้เข้าที่ แล้วค่อยๆ ดันบอร์ดไป ว่ายน้ำไป มาขึ้นตรงที่เค้าเตรียมไว้ให้คนอย่างเรา
เหนื่อยมาก ไม่รู้ว่าเกร็งแขนเหนื่อย หรือว่ายน้ำเหนื่อย แถมต้องแบกบอร์ด
เดินกลับไปจุดปล่อยตัวใหม่ ประมาณ 200 เมตร

คิดในใจ เมื่อกี๊เรายังทำไม่ถูก เบี่ยงออกขวาน้อยไป ต้องตีวงกว้างอีก
ให้เข้ากลางช่องทุ่นที่เค้าทำไว้เลย ตอนอยู่จุดสตาร์ทก็ฟังพี่เค้าอธิบายอีก
“นี่นะ เราต้องดึงแขนมาติดๆ ตัวเลย เบี่ยงขวาแล้วหันตัวไปตามทางที่จะไปต่อด้วย”
“ได้เลยพี่”
ฟิ้ว…วู้ฮู่ววว………อ้ะห์…ตูม!!!
ที่เดิมเลย อะไรเนี่ย เริ่มปวดแขนแล้ว
“พี่ด๊อกกกกก…หลบ!!!” เจ้ากฤษณ์ตามหลังมา เค้าสอนว่าถ้าหลบไม่ทันให้ดำน้ำไว้ก่อน
เฮ้ย!…มันดำลงไปไม่ได้ ติดชูชีพ ฮึบๆๆ ว่ายเข้า ฮึบ…
พี่ด๊อกกกกกกกก!!!หลบ!!!
มาเล้ว อารมณ์ประมาณรูปนี้แหละ
ฟิ้วววว…!!!
น้ำสาดเข้าหน้า กฤษณ์พาบอร์ดผ่านไปในระยะ 1 เมตร
เกือบหัวหลุดแล้วมั้ยล่ะ

ว่ายขึ้นฝั่ง เหนื่อย…
เดินไปจุดออกตัวใหม่ เมื่อกี๊เราคงเผลอ ลืมไปว่ามันจะกระตุกแรงตอนออกตัวจากโค้ง
เดินมาแวะโต๊ะพรรคพวก นั่งพักเหนื่อย โอ้เอ้ คุยเล่นกันหน่อย แล้วค่อยเดินไปจุดออกตัว
พี่คนเดิม “เราต้องเกร็งแขนไว้เลย หันบอร์ดให้ถูกทาง เชือกมันจะกระตุกแรงกว่าตอนสตาร์ท”
นั่นไง ที่เราคิดไว้ถูกจริงๆ มันแรงมาก คราวนี้ต้องตั้งสติให้ดี เดี๋ยวมันกระชากแน่ เอาล่ะ…
ฟิ้ว…วู้ฮู่ววววววววว………ตูม!!!
คราวนี้ไม่ทันได้ร้องซักแอะ ที่เดิม! อะไรฟระ เริ่มปวดแขนหนักขึ้นลามไปถึงกล้ามเนื้อปีก (ว่าเข้านั่น)

ฝนที่ตั้งเค้ามานานเริ่มลงเม็ดแล้ว เม็ดใหญ่ซะด้วย ว่ายขึ้นฝั่ง เดินหิ้วบอร์ดไป ใจก็คิด
อืม…เป็นเพราะว่าเราใช้บอร์ดนั่ง มันช่วยให้ออกตัวง่ายก็จริง แต่มันคอนโทรลยาก
ควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจเล้ยยย…ใช่แล้ว…มันต้องยืน!

เดินไปเอาเวคบอร์ดทันทีเลยครับ ดูเค้าโดดขึ้นแรมพ์กัน เดี๋ยวๆ เดี๋ยวเถอะ…
หมูๆ ฟร่ะเดี๋ยวตรูมั่ง
มั่นใจขึ้นมาก เรามีพื้นฐานสเก็ตบอร์ดอยู่แล้ว ยืนเหมือนกันเลย แบบนี้ชัวร์
กำเชือก งอเข่า ย่อตัวลง ตั้งสมาธิ เคเบิ้ลวิ่งมาเกี่ยวแล้ว ฮึบ..
ฟึ่บ..เฮ้ย..ตู้ม! (- -“)
เดี๋ยวสิ เมื่อกี๊ยังไม่ได้ตั้งตัวม้าง…
หันไปมอง ออกมาได้ประมาณ 4 เมตร เอ้า ว่ายๆๆ..
พี่เสื้อเหลืองคนคุมรอกเคเบิ้ล “รอบนี้คนละรอบสุดท้ายแล้วนะครับ พี่มีนัดกินข้าวเย็นกะกิ๊ก ต้องรีบไป”
หกโมงเย็นแล้วจริงๆ ด้วย เอาวะ ทิ้งทวนก่อนจบ…

ฟึ่บ ตู้ม!

โอเค…เลิก! ได้เวลาบึงปิดพอดี
ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อย อ๊ะ…บอร์ดมันแตกนี่เอง (รูปซ้ายตรงมือน้องผู้หญิง เจ้านก)
สวยหล่อหล่อ สวย สวย
เห็นมั้ยๆๆ มิน่า…ถึงออกตัวไม่ได้เลยไง…

สรุป คิดซะว่าค่าออกตัวครั้งละ 60 บาท เทียบกับประสบการณ์และความสนุกที่ได้มา ยังถือว่าคุ้มอยู่
“วันหลังน้องมาวันธรรมดาสิ คนน้อยๆ ไม่ต้องรอนาน
เนี่ย…แบบนี้ พอเราเล่นพลาด จะเอาใหม่ แล้วต้องมารอนานๆ มันก็ลืมหมด”
ถูกครับพี่ มันใช่เลย หยั่งงี้นี่เอง…

ไว้วันหลังจะไปใหม่ คราวนี้เอาแบบเหมาทั้งวันให้แขนหลุดกันไปเลยเนอะ
ว่าแต่…จนถึงตอนนี้มันยังปวดแขนอยู่เลย จะเอี้ยวตัว เอื้อมแขนถูสบู่ ใส่เสื้อผ้าก็ตึงไปหมด
ต้องกี่วันถึงจะหายเนี่ย…
ไหนจะยังมีคิวอยากไปเล่นปีนหน้าผากับพวกพี่ป๊อก, คุณ roofimon อีก
ตั้งแต่มาปั่นจักรยานนี่ ได้เล่นไรหนุกๆ เพิ่มขึ้นเพียบเลย

ปล.อุปกรณ์ของพวกโปรๆ เค้าเจ๋งดี ชอบเสื้อชูชีพแบบที่เค้าใช้ ดูมันไม่เกะกะ
เดี๋ยวเล่นอีกซักสองสามหน ถ้าไปรุ่ง จะลองหามาใส่มั่งซะหน่อย หุๆๆ…
ปอ.พอเลิกปุ๊บ ฝนหยุด ฟ้าสว่างขึ้นมาทันทีเลยนะ หึๆๆ…
ปฮ.ดีแล้วที่ฝนหยุด ขากลับรถไม่ติด วิ่งฉิวตลอดเลย เย้…(มีปรอยๆ นิดหน่อยแถววงเแหวนฯ)

Spider-Man 3: Enemy in the Reflection

ไม่ได้เขียนถึงหนังมานาน เคยตั้งใจจะเขียนทุกเรื่องที่ดู
แต่คิดแล้วคงไม่ไหว เดี๋ยวจะกลายเป็น blog หนังไปซะก่อน
เพราะดูหนังเกือบทุกเรื่อง บางวันดูสองสามเรื่องก็มี

พอดีคราวนี้ได้ไปดู Spider-Man 3 รอบกาล่าพรีเมียร์ที่ SFW (SF World Cinema)
เลยอยากเขียนถึงหลายๆ อย่าง
เริ่มจากกิจกรรมหน้างาน คราวนี้ไม่ยักกะคึกคักเหมือนตอน 007: Casino Royale
เรียกว่าแทบไม่มีกิจกรรมอะไรเกี่ยวกับหนังเลย แจกเครื่องดื่มกัน (คราวนี้ไม่มีเบียร์แต่มีไวน์)
เหมือนจะเป็นงานเปิดตัว SFW บวก celebrity party ซะมากกว่า
ก่อนเข้าโรงก็ต้องฝากมือถือ ซึ่งทำให้วุ่นวายตอนมาเอาคืนนี่แหละ

คราวนี้ CTBV ปิดโรง SFW ฉายเต็มสตรีม แถมมีรอบพิเศษที่สาขาอื่นๆ อีกเพียบ
พิธีกรก็ประกาศอยู่นั่นแหละว่าดูก่อนใครในโลก โม้ชัดๆ ก็ญี่ปุ่นเค้าดูกันไปตั้งแต่ 16 เมษา
Spidey3 Ticket

เข้าเรื่องดีกว่า ภาคนี้เปิดไตเติ้ลมาแบบกลัวคนดูจะลืมเรื่องราวในสองภาคก่อนหน้า
เลยเอามาให้ดูเป็นช้อตๆ ประกอบรายชื่อนักแสดง แต่ผมชอบไตเติ้ลของสองภาคก่อนมากกว่า
เนื้อเรื่องก็เป็นไปตามหนังตัวอย่าง ส่วนผมก็อ่านการ์ตูนมาเยอะแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องเดากันมากมาย
ระทึกใจไปกับภาพบนจออย่างเดียวก็คุ้มแล้ว
spidey3transform1spidey3transform2
spidey3transform3spidey3transform4
“…แมงมุมลายตัวนั้น ฉันเห็นมันใส่ชุดสีดำ…”

ชอบหลายๆ ฉากในหนังแม้จะเปิดหนังตัวอย่างที่โหลดมาดูแล้วดูอีกเป็นสิบๆ รอบก็ยังชอบอยู่
แฮรี่ ออสบอร์นเท่ห์มาก เจมส์ ฟรังโก้ นี่หลังจากไปนำเดี่ยวใน Flyboys ก็ยิ่งกลับมาเล่นเป็นแฮรี่ได้เท่ห์เข้าไปอีก
นิวก็อบลินก็เก่งดีใช้ได้ ตอนเปิดห้องทำงานค่อยๆ ไล่ให้เห็นหน้ากากกับยานร่อนของรุ่นพ่อจนมาเป็นรุ่นลูก
ทำให้เข้าใจอะไรๆ ได้ง่ายขึ้นเยอะ กระดานร่อนใหม่ (ก็อบลินไกลเดอร์) ของนิวก็อบลินมันดูคล่องตัวสมเป็นวัยรุ่น

อีกฉากนึงที่ชอบคือตอนที่แมรี่ เจนเดินเศร้าออกมาจากโรงละครแล้วค่อยๆ กลืนไปกับฝูงชนด้านนอก
ทำให้รู้สึกเลยว่าจาก somebody กลายเป็น nobody มันเป็นยังไง

ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด ลูกสาวผู้กำกับใหญ่รอน ฮาวเวิร์ด เคยเป็นนางเอกให้หนังพี่มาโนชมาสองเรื่อง
มาเล่นเป็นเกวน สเตซี่ ซึ่งตามการ์ตูนต้องเป็นรักแรกของปีเตอร์แต่ต้องมาตายด้วยน้ำมือของกรีนก็อบลิน
แต่ฉบับหนังเพิ่งจะโผล่หน้ามา สวยบาดใจมาก ดูเผินๆ ในหนังนึกว่าเอลิชา คัทเบิร์ตเวอร์ชั่นตัวสูง
มีเกร็ดตลกๆ อยู่อันนึง คือ ไบรซ์ซึ่งปกติผมแดงต้องย้อมผมเป็นสีบลอนด์เพื่อเล่นเป็นเกวน
ส่วนเคิร์สเท็น ดันส์นางเอกของเรื่อง ปกติผมบลอนด์ แต่ต้องย้อมผมสีแดงเพื่อเล่นเป็นเอ็มเจ อืม…

ข่าวลือที่ว่าอาจมีตัวละคร เควนติน เบ็ค ที่จะเป็นผู้ร้ายตัวนึงในการ์ตูนคือ Mysterio ก็เป็นอันว่าไม่จริง
ตัวอาจารย์ของปีเตอร์ที่มีแขนเดียวก็ยังเป็น ดร.เคิร์ท คอนเนอร์ ยังไม่ได้กลายเป็น The Lizard ในภาคนี้
บรูซ แคมป์เบลก็มารับเชิญเหมือนทุกภาค คราวนี้เป็นบริกรร้านอาหารฝรั่งเศส ฮาดี
สแตน ลีก็ขาดไม่ได้ ตามธรรมเนียมต้องมาโผล่หน้าประดับจอให้หนังที่สร้างจากการ์ตูนของมาร์เวล
อีตา บก. เจ. โจนาห์ เจมสันก็ทั้งเลวทั้งฮา เสียดายภาคนี้ลูกชายสุดหล่อแกหายไป
(ภาคที่แล้วเกือบได้แต่งกับนางเอก ในการ์ตูนกลายเป็น Man-Wolf หลังจากกลับจากดวงจันทร์)
มิสแบรนต์เลขาหน้าห้องภาคนี้น่ารักขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย (ไปเป็นนางเอกใน Slither มาแล้วนะ)
ป้าเมย์ยังเป็นสุดยอดเจ้าแม่คำคม ดูแล้วก้ำกึ่งมากว่าป้ารู้หรือไม่รู้กันแน่ว่าหลานเป็นฮีโร่ (ตอนนี้ในการ์ตูนรู้แล้ว)
ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์เวอร์ชั่นด้านมืดก็กวนได้ใจ (เราสามารถแยกแยะได้จากทรงผม)
ตอนขึ้นเสียงกับ บก.เดลี่บูเกิ้ล กับตอนที่ไปอัดนิวก็อบลินแล้วด่าซ้ำนี่สะใจดีจริงๆ
ส่วนฉาก dark สุดๆ ในร้านอาหารก็ทำได้กระแทกใจแทบน้ำตาไหล (- -“)

ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือวีน่อม แต่ในหนังไม่เห็นมีใครจะตั้งชื่อให้เลยนะ
คือยังไม่ทันจะรู้เลยว่าเป็นตัวอะไร รู้แค่ว่าคล้ายสไปดี้แต่ไม่ใช่
เค้าทำออกมาเหมือนการ์ตูนดี (ขาดแค่ไม่แลบลิ้น)
แซนด์แมนก็เจ๋ง คงเพราะได้ดาราฝีมือดีด้วย (โธมัส เฮย์เด็น เชิร์ช อยากพิสูจน์ต้องดู Sideways)

เป็นอันว่าหนังสนุกสมกับที่รอ แอ็คชั่นเร้าใจ ตลกถูกจังหวะ (ในการ์ตูน กรีนก็อบลินชอบด่าสไปดี้ว่าชอบทำตลกไม่ถูกจังหวะ)
จบแบบเคลียร์เกือบทุกอย่าง แต่ความรู้สึกหลังหนังจบ ผมจำได้ว่าตอนดูภาคสองจบรู้สึกประทับใจมากกว่านี้นิดนึง
อ้อ..หนังยาวเหมือนกันนะครับ 140 นาทีแน่ะ

ขอบคุณ CTBV ประเทศไทยสำหรับบัตรฟรีด้วยนะครับ เดี๋ยวจะไปเสียเงินดูอีกซักรอบสองรอบ ^_^
ปลายเดือนขอดู Pirates of the Caribbean 3 อีกนะ