The Bourne Ultimatum

ดูเหมือนว่าเจสัน บอร์นจะเป็นหนังภาคสาม เรื่องสุดท้ายในเทศกาลหนังภาคสามประจำซัมเมอร์นี้
และผลลัพธ์ออกมาสวยงามที่สุด ไม่ขาดๆ เกินๆ เหมือนพวกไตรภาคเรื่องอื่นๆ
แมท เดมอน ก็ให้ข่าวว่าคงจะพอแล้วกับบทบาทนี้เหมือนกัน
เพราะเล่นตั้งแต่ identity ถึงขั้น supreme แล้วยังจะ ultimate อีก จะสุดยอดกันไปถึงไหน
แต่อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน ขนาดนิยายที่คนแต่งดั้งเดิมตายไปแล้ว ยังมีภาค The Bourne Lagacy ออกมาได้
ไม่แน่อีกหน่อย อาจจะมีหนังที่เล่าย้อนว่าก่อนบอร์นจะเป็นอย่างนี้ มีเรื่องราวเป็นยังไงมาก่อนก็ได้
(ตามสมัยนิยมที่ชอบสร้างภาค prequel กัน)

ภาคนี้ได้ผู้กำกับจากภาค supremacy มาทำหน้าที่เดิม หลังจากสร้างชื่อจากครั้งที่แล้ว
แถมยังคั่นเวลาด้วยการไปทำหนังผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบิน United 93 ออกมาได้ดีล้ำเลิศจนมีแต่คนชม
แต่ขอเตือนสำหรับคนที่ไม่ชอบสไตล์การกำกับภาพแบบใช้ handycam ของพอล กรีนกราสส์
ภาคนี้เค้าย้งคงคอนเซปต์เก่า เอากล้องวิ่งตามบอร์นจนเวียนหัวยิ่งกว่าภาคที่แล้วอีกหลายเท่าตัว
โชคดีที่ผมไม่วิงเวียนไปกับเค้า เลยเมามันเต็มที่กับการติดตามบอร์นแบบแทบจะทุกฝีก้าว

มาคุยกันถึงตัวหนังบ้าง (เท่าที่ไม่เฉลยจุดสำคัญ)

หนังเปิดเรื่องมาในมอสโก ต่อจากเหตุการณ์ท้ายภาคสอง ที่บอร์นไปขอโทษลูกสาวเหยื่อรายแรกของเค้า
แล้วก็หนีตำรวจต่อไปโดยที่ยังบาดเจ็บอยู่เลย (จากการที่โดนคิริลยิง ก่อนจะอัดกลับอย่างสะใจในภาคนั้น)
เรื่องราวก็ดำเนินไปให้เห็นว่าใน CIA ก็ยังมีลับลมคมในอะไรบางอย่างกับบอร์นอยู่
หนังเดินเรื่องอย่างเข้มข้นและโชว์ความเก๋าของบอร์นแบบไม่กั๊ก อัดกันเต็มที่แบบไม่ให้ตั้งตัวเลย
แล้วเงื่อนงำทั้งหลายก็พาบอร์นกลับมาที่จุดเริ่มต้นในนิวยอร์ค ที่เราได้เห็นไปแล้ว
ตอนที่บอร์นมาถึงนิวยอร์คในฉากจบของภาคสองนั่นเอง ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเหตุการณ์กลางเรื่องของภาคนี้
ซึ่งถ้าดูจากหนังตัวอย่างก็จะเห็นแล้วว่าตอนที่บอร์นโทรหาพาเมล่า แลนดี้และได้รับการบอกชื่อจริง
บอร์นก็โดนดักฟังจากทีมปฏิบัติการแล้วว่ามีการติดต่อกัน แถมในหนังตัวอย่างก็โชว์ความเจ๋งของบอร์นไปแล้วด้วย
คือตอนที่บอร์นโทรไปหาหัวหน้าทีมปฏิบัติการนั้นซะเองนั่นแหละ

แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น หนังยังคงพาทัวร์ยุโรปอย่างต่อเนื่อง ตามแบบฉบับหนังสายลับ
ที่ชอบฝังตัวกันในยุโรปตั้งแต่สงครามเย็น บรรยากาศแบบยุโรปมันเหมาะกับหนังสายลับจริงๆ
รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ ถนนทางเดินแคบๆ คนจอแจ อาคารสวยๆ มีเสียงไซเรนเป็นแบ็คกราวน์
ตำรวจซื่อๆ โดยเฉพาะตำรวจฝรั่งเศสที่คล้ายหนังไทยโบราณที่ตำรวจชอบแห่กันมาตอนจบ
สายลับกับยุโรปต้องเป็นของคู่กันอย่างแยกไม่ออก ไม่เชื่อลองดู Ronin
หรือไม่ก็ Mission Impossible ภาคแรก มักจะมีอะไรแบบนี้เสมอ

ฉากแอ็คชั่นทั้งหมดเหมือนเอาความดีของภาคแรกและภาคสองมารวมกัน
เราจะได้เห็นบอร์นอัดกับสายลับตัวต่อตัวในที่แคบด้วยมือเปล่า หรือไม่ก็ใช้อาวุธที่หยิบฉวยใกล้มือ
ซึ่งส่วนมากเป็นข้าวของเครื่องใช้ธรรมดา ไม่ได้มีของเล่นไฮเทคเหมือนสายลับชื่อดังคนอื่นๆ เค้า
(คงเพราะบอร์นไม่ได้ประจำการมากกว่า)

ฉากขับรถไล่ล่าก็ตัดต่ออย่างฉับไวและอาจทำให้หลายคนเวียนหัวได้ แต่ผมปรับสายตาได้แล้ว
จากการดูภาคสองหลายรอบจนแทบจะวาดสตอรี่บอร์ดฉากในอุโมงค์ท้ายเรื่องได้
จึงเพลินกับภาคใหม่นี้เหมือนเดิมเต็มที่

ฉากหลบหนีตำรวจหรือสายลับคู่อริ ต้องปีนป่ายอาคารก็ยังคงมีไว้เป็นเอกลักษณ์
ชอบตอนที่บอร์นวิ่งไปก็ฉวยผ้าที่แขวนไว้มาพันมือไป แล้วเราก็ได้เห็นว่าทำไมบอร์นทำแบบนั้น
หรือในสถานการณ์อื่นๆ ทุกฉากเวลาดูบอร์นทำอะไรที่เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
ที่เหมือนทำไปโดยสัญชาตญาณล้วนๆ มันรู้สึกเหมือนว่าเค้าทำไปแบบแทบจะไม่ต้องคิดเลย
หรือไม่ก็คิดตลอดเวลาและคิดเร็วมากด้วย อันนี้ต้องชมคนเขียนบทกับคนออกแบบฉากแอ็คชั่นจริงๆ
ที่ทำให้บอร์นดูมั่นใจ เอาอยู่ คุมสถานการณ์ได้และพาคนดูไปแบบแทบไม่ต้องลุ้น
แต่ให้ติดตามไปอย่างตื่นเต้น และโคตรทึ่งแทน

ภาคนี้น้องจูเลีย สไตลส์ ในบทนิกกี้ พาร์สัน ก็มีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ เครดิตท้ายเรื่องขึ้นเป็นชื่อลำดับที่สองเลย
ตอนภาคแรกนี่เป็นแค่ตัวประกอบ พอภาคสองก็เรียกคะแนนสงสารได้จากฉากตกใจกลัวจนร้องไห้โฮ
ที่โดน(ไอ้คุณ)บอร์นใจร้ายเอาปืนจ่อหัวตะคอกให้บอกข้อมูล ภาคนี้ก็ยังสวยน่ารักจับใจทุกซีนที่ออกมา
ทั้งยังแสดงได้น่าสงสารสุดขีดจนอยากกระโจนเข้าไปปลอบ ตอนทำหน้าตาตระหนกตกใจหลังได้ยินเสียงระเบิด
และรู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึงตัว รวมทั้งทุกฉากที่มองบอร์นด้วยสายตาปวดร้าวใจ ห่วงใย ทำท่าเหมือนอยากจะพูด
แต่ก็จำใจกลืนลงคอ ชวนให้สงสัยถึงความสัมพันธ์ในอดีต และรอยยิ้มสุดท้าย ให้คะแนนเต็มสิบครับ
ใครอยากเห็นความน่ารักชัดๆ เน้นๆ แนะนำให้ไปควานหา 10 Things I Hate About You มาดูซะ
หรือใหม่หน่อยอย่าง The Prince & Me ก็โอเค

เหมือนเดิมครับ อยากให้ทบทวนภาคสองกันให้ดีถ้าอยากจะสนุกเต็มที่แบบไม่มียั้ง มีแผ่นก็เปิดดูได้เลย
เพราะหนังไม่เสียเวลาปูพื้นอะไรอีกแล้ว โชคดีที่เพิ่งขุดมาดูใหม่ไม่นานนี้เองทั้งสองภาค
สำหรับผม บอร์นเป็นหนังที่สนุกมากตั้งแต่ภาคแรกและสนุกขึ้นเรื่อยๆ ทุกภาค
ภาคนี้ก็ทั้งชอบ ทั้งปลื้มและทึ่งจนแทบน้ำตาไหลด้วยความสุขในความตื่นเต้นที่ได้ดู
ด้วยความที่คาดหวังและตั้งตารอ จึงตื่นเต้นตั้งแต่ได้ยินเพลงธีมของเรื่องในวินาทีแรกที่หนังเริ่มฉายเลย
ของอย่างนี้ไม่รักกันจริงหรือไม่ไปดูในโรงไม่รู้ซึ้งหรอก

ปกติพอดูหนังจาก Apex จบ ตอนนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน ผมจะเปิดเพลงฟังหรือไม่ก็อ่านหนังสือแก้เบื่อ
แต่คราวนี้ไม่อยากให้เสียงเพลงมาทำลายจินตนาการถึงเรื่องราวกับฉากและเสียงที่เพิ่งผ่านหูผ่านตามา
เลยนั่งนิ่งๆ กลัวอารมณ์จะกระฉอก พลางคิดว่า “จะมาดูอีกรอบเมื่อไหร่ดี”

3 thoughts on “The Bourne Ultimatum”

  1. อ่านที่เฮียเขียนผ่านๆ สรุปให้อ่านอะไร ก็ดูแล้วอ๊ะ

    ฉากที่ภาคแรกไม่มี (หรืออาจมีแล้วไม่มันเท่าเลยจำไม่ได้) คือฉากต่อยเตะสู้กันแบบยาวๆ ที่ดูแล้วลุ้น มันมาก

  2. ให้อ่านแบบดูแล้วมาคุยกันงั้ยยยย – -”

    คอมเมนท์เก่าๆ มันหายหมดตอนย้ายโฮสต์อะ เศร้า…

Leave a Reply to EscRiBiTioNiSt® Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *